เข่าเสื่อมระยะสุดท้าย (Stage 4)... จำเป็นต้อง "ผ่าตัด" ทุกคนไหม? ทางเลือกของคนกลัวเจ็บ
"คุณป้าครับ เข่าของคุณป้ากระดูกอ่อนมันสึกจนหมดแล้วนะครับ ตอนนี้กระดูกมันชนกระดูกแล้ว หมอเรียกว่าระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้ายครับ"
ทันทีที่สิ้นเสียงหมอ... บรรยากาศในห้องตรวจมักจะเงียบกริบ ตามมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของคุณลุงคุณป้า และคำถามยอดฮิตที่หมอได้ยินแทบทุกวันคือ
"ป้าต้องผ่าตัดอย่างเดียวเลยเหรอคะหมอ? มียากินให้หายไหม? ป้ากลัว... ป้าไม่อยากผ่า"
ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้... กำลังยืนอยู่ตรงทางแยกที่ต้องตัดสินใจ ระหว่าง "กัดฟันผ่า" หรือ "ทนปวดต่อไป" วันนี้หมอเก่งขอมานั่งจับเข่าคุย (แบบเบาๆ) เพื่อกางแผนที่ชีวิตให้ดูครับ ว่าในระยะสุดท้ายนี้ เรามีทางเลือกอะไรบ้าง
เรื่องเล่าจากคลินิก: คุณตาสมศักดิ์ ผู้ (เคย) เกลียดการผ่าตัด
มีคนไข้ท่านหนึ่งชื่อคุณตาสมศักดิ์ อายุ 75 ปี ท่านเป็นคนเก่ง แข็งแรง แต่เดินขาโก่งมาก เวลาเดินตัวจะโยกซ้ายโยกขวาเหมือนเพนกวิน ท่านบอกผมว่า "หมอ... ตาไปหามาหลายที่แล้ว เขาบอกให้ผ่าตัด แต่ตาไม่เอา ตาเห็นเพื่อนบ้านไปผ่ามาแล้วเดินไม่ได้ ตาเลยกลัว"
คุณตาเลือกที่จะกินยาแก้ปวดวันละหลายเม็ด ทายาประคบร้อน และฝังเข็มมาตลอด 3 ปี จนกระทั่งวันหนึ่ง... ยาแก้ปวดเริ่มเอาไม่อยู่ และท่านล้มในห้องน้ำเพราะขาไม่มีแรงพยุงตัว
วันนั้นคุณตาบอกหมอด้วยเสียงสั่นเครือว่า "หมอ... ตาแค่อยากเดินไปซื้อข้าวแกงหน้าปากซอยไหว ตาไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน"
เรื่องของคุณตา คือภาพสะท้อนของความจริงที่ว่า "ความกลัว" มักจะปิดบัง "ทางเลือก" ของเราครับ
ทำความเข้าใจ "ระยะที่ 4" (Bone-on-Bone) คืออะไร?
ก่อนจะตัดสินใจ เราต้องรู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในเข่าเรา
โรคข้อเข่าเสื่อม แบ่งเป็น 4 ระยะครับ
- ระยะ 1-2: เริ่มมีเสียงก็อกแก็บ เจ็บเล็กน้อย
- ระยะ 3: ช่องว่างในข้อแคบลง เริ่มปวดถี่ขึ้น
- ระยะ 4 (Severe): นี่คือระยะที่เรากำลังพูดถึงครับ คือ "กระดูกอ่อนผิวข้อ" ที่เคยเป็นเบาะรองรับมันสึกหายไปจนหมดเกลี้ยง!
เปรียบเหมือน "ยางรถยนต์ที่ดอกยางหมดจนถึงผ้าใบ" แล้วเรายังขับบดถนนไปเรื่อยๆ จนล้อแม็กซ์ขูดกับถนน เกิดประกายไฟ (ความเจ็บปวด) ทุกครั้งที่ล้อหมุน
อาการเด่นชัดของระยะนี้คือ:
- ขาโก่งผิดรูป (เข่าชิด หรือ เข่าถ่าง) ชัดเจน
- เดินตัวโยก เพราะเอ็นรอบเข่าหย่อนยาน
- เหยียดเข่าไม่สุด หงายเข่าไม่ได้ ข้อติดยึด
- ปวดตลอดเวลา แม้แต่นั่งเฉยๆ หรือตอนนอน (Night Pain)
ทางแยกชีวิต: ผ่าตัด vs ไม่ผ่าตัด
หมอขอตอบคำถามสำคัญเลยนะครับว่า "จำเป็นต้องผ่าตัดทุกคนไหม?"
คำตอบคือ... "ไม่ครับ" การผ่าตัดไม่ได้ดูที่ฟิล์มเอกซเรย์ว่าเสื่อมมากแค่ไหน แต่ดูที่ "คุณภาพชีวิตของคุณ" เป็นหลักครับ
เรามาดูกันทีละทางเลือก แบบเจาะลึกครับ
ทางเลือกที่ 1: สู้แบบไม่ใช้มีด (Non-Surgical Management)
ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่สภาพร่างกายไม่พร้อมผ่าตัด (โรคหัวใจรุนแรง, โรคปอด, ความดันคุมไม่ได้)
- ผู้ที่ยังพอเดินไหว และพอใจกับวิถีชีวิตที่ไม่ต้องเดินทางไกล
- ผู้ที่กลัวการผ่าตัดสุดหัวใจ และยอมรับข้อจำกัดในการใช้ชีวิตได้
วิธีการรักษาในแนวทางนี้:
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (Lifestyle Modification):
- ลดน้ำหนัก: เป็นเรื่องยากแต่จำเป็นที่สุด ในระยะนี้ลดแค่ 2-3 โล ก็ช่วยลดแรงกระแทกได้มหาศาล
- ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน: ไม้เท้า (Cane) หรือ วอล์คเกอร์ (Walker) เปรียบเสมือน "ขาที่ 3" ที่ช่วยรับน้ำหนักแทนเข่าที่พัง
- ใส่สนับเข่า (Knee Support): ชนิดที่มีแกนเหล็กดามด้านข้าง เพื่อช่วยพยุงข้อที่หลวมให้มั่นคงขึ้นเวลาเดิน
- ยาและการฉีด (Pain Management):
- ยากิน: ในระยะนี้ ยาบำรุงข้อ (Glucosamine) แทบไม่ช่วยแล้วครับ เพราะไม่มีกระดูกอ่อนเหลือให้ซ่อม เราจะเน้นยาแก้ปวดที่ปลอดภัย
- การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเทียม (HA): ช่วยได้ "ชั่วคราว" เหมือนหยอดน้ำมันจักรให้สนิมคลายตัว ลดเสียงดัง ลดความฝืดได้บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้หายโก่ง
- การฉีดสเตียรอยด์: หมอจะใช้ในกรณีที่ปวดบวมอักเสบรุนแรงจริงๆ เพื่อดับไฟที่กำลังไหม้ แต่ฉีดบ่อยไม่ได้ เพราะจะทำให้กระดูกพรุนและเอ็นเปื่อย
ทางเลือกที่ 2: เปลี่ยนอะไหล่ใหม่ (Total Knee Replacement)
ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับ:
- คนที่ "คุณภาพชีวิตพังทลาย" เดินไปตลาดไม่ได้ ไปวัดไม่ได้ ขึ้นบันไดไม่ได้
- คนที่ปวดทรมานจนนอนไม่หลับ กินยาแก้ปวดจนไตเริ่มมีปัญหา
- คนที่ขายังมีกล้ามเนื้อพอสมควร และอยากกลับไปใช้ชีวิต active
ความจริงเกี่ยวกับการผ่าตัดยุคใหม่:
ลืมภาพการผ่าตัดสมัยก่อนที่นอนโรงพยาบาลเป็นเดือนไปได้เลยครับ
- ไม่ใช่การตัดขา: เป็นแค่การ "ไสผิวข้อที่เสียออก" (เหมือนทำฟันครอบแก้ว) แล้วครอบด้วยผิวโลหะไทเทเนียมแทน
- แผลเล็ก เจ็บน้อย: เทคนิค Minimally Invasive Surgery ทำให้บอบช้ำต่อเนื้อเยื่อน้อยมาก
- เดินได้ไว: ปกติหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง หมอจะให้คนไข้ลุกเดินทันที! เพื่อป้องกันข้อยึด
ข้อดี: หายปวด ขาที่โก่งกลับมาตรง เดินได้ไกลขึ้น บุคลิกภาพดีขึ้น ข้อเสีย: มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด (แต่น้อยมากในปัจจุบัน), ต้องทำกายภาพบำบัดอย่างเคร่งครัดหลังผ่าตัด
บทสรุป: จะเลือกทางไหนดี?
หมอมีคำถาม 3 ข้อ ให้คุณลองถามตัวเองครับ:
- ความปวดมันรบกวนความสุขในชีวิตมากแค่ไหน? (ถ้านั่งเฉยๆ ก็ปวด นอนก็ปวด จนไม่อยากทำอะไร = ควรพิจารณาผ่าตัด)
- ร่างกายส่วนอื่นยังไหวไหม? (ถ้าใจสู้ ปอดดี หัวใจดี แต่ติดที่เข่าอย่างเดียว = ผ่าตัดแล้วคุ้มค่ามาก)
- ความคาดหวังคืออะไร? (ถ้าแค่อยากเดินในบ้านได้ การไม่ผ่าตัดอาจจะพอไหว แต่ถ้าอยากไปเที่ยวเมืองนอก ไปเดินห้างกับลูกหลาน = การผ่าตัดคือคำตอบ)
คำแนะนำสุดท้ายจากหมอเก่ง
ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน "ไม่มีผิด ไม่มีถูก" ครับ มีแต่ทางที่ "เหมาะสมกับเราที่สุด"
ถ้าเลือกไม่ผ่า... ต้องมีวินัยในการคุมน้ำหนัก บริหารกล้ามเนื้อ และใช้อุปกรณ์ช่วย ถ้าเลือกผ่า... ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม และเตรียมใจลุยกับการทำกายภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าทิ้งไว้เฉยๆ จนกล้ามเนื้อขาลีบ เพราะถึงตอนนั้นต่อให้ผ่าตัดเปลี่ยนเข่าที่ดีที่สุดในโลกใส่ให้ ก็อาจจะเดินไม่ได้เพราะไม่มีแรงยกขาครับ
ปรึกษาหมอ เพื่อวางแผนร่วมกันนะครับ เราจะก้าวผ่านความปวดนี้ไปด้วยกันครับ
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng
#เข่าเสื่อมระยะสุดท้าย #ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า #ไม่ต้องผ่าตัด #RFA #จี้เส้นประสาทลดปวด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น