วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รักษา "ข้อเข่าเสื่อม" ทำไมบางคนดีขึ้นไว แต่บางคนไม่หายสักที? ปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่ตรงไหน?


 


รักษา "ข้อเข่าเสื่อม" ทำไมบางคนดีขึ้นไว แต่บางคนไม่หายสักที? ปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่ตรงไหน?

เคยสงสัยไหมครับ? ว่าทำไมคนข้างบ้านไปหาหมอ ฉีดยาเข็มเดียวเดินปร๋อ แต่เรากินยาก็แล้ว กายภาพก็แล้ว ทำไมยังปวดตื้อๆ อยู่เหมือนเดิม? หรือหมอเลี้ยงไข้? หรือยาไม่ดี?

หมออยากบอกความลับอย่างหนึ่งครับ... การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้ได้ผลดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ยาที่แพงที่สุด" หรือ "หมอที่เก่งที่สุด" เพียงอย่างเดียวครับ แต่มันขึ้นอยู่กับ "จิ๊กซอว์ชีวิต" ของคนไข้แต่ละคนที่ประกอบกันออกมาต่างหาก

วันนี้หมอจะพามาดูปัจจัยสำคัญ 4 ข้อ ที่เป็นตัวกำหนดว่า การรักษาข้อเข่าของคุณจะ "รุ่ง" หรือ "ร่วง" พร้อมวิธีที่จะช่วยให้เข่าของคุณกลับมาใช้งานได้ดีขึ้นครับ


เรื่องเล่าจากห้องตรวจ: "ป้าแดง" ผู้ชนะ กับ "ลุงขาว" ผู้พ่ายแพ้

หมอมีคนไข้ 2 ท่าน อายุ 65 ปีเท่ากัน เป็นเข่าเสื่อมระยะ 3 เหมือนกันเป๊ะ

  • ลุงขาว: มาหาหมอทุกเดือน ขอยาแก้ปวดที่แรงที่สุด ฉีดยาตัวแพงสุด แต่กลับบ้านไป ลุงขาวชอบนั่งพับเพียบคุยกับเพื่อน กินของหวาน และไม่ยอมเดินออกกำลังกาย เพราะกลัวเจ็บ
  • ป้าแดง: วันแรกที่มาหาหมอ ป้าแดงตกใจที่เห็นเอกซเรย์เข่าตัวเอง หมอแนะนำให้ลดน้ำหนักและบริหารกล้ามเนื้อ ป้าแดงกลับไปทำจริงจัง ลดข้าว ลดของหวาน แกว่งขาในน้ำทุกวัน

ผ่านไป 6 เดือน... ลุงขาว อาการแย่ลงจนเริ่มคุยเรื่องผ่าตัด ส่วน ป้าแดง เดินเข้ามาในห้องตรวจด้วยรอยยิ้ม บอกว่า "หมอคะ ป้าแทบไม่ต้องกินยาแก้ปวดแล้ว"

เรื่องนี้สอนให้เห็นชัดเจนเลยครับว่า "พฤติกรรมกำหนดชะตาเข่า" จริงๆ


ความจริงที่หมออยากบอก: การรักษาคือ "งานกลุ่ม" ไม่ใช่ "งานเดี่ยว"

โรคข้อเข่าเสื่อม ไม่เหมือนไข้หวัดที่กินยาฆ่าเชื้อแล้วจบครับ แต่มันคือ "ความเสื่อมสภาพของอะไหล่" ที่สะสมมานานหลายสิบปี

การที่หมอจ่ายยา หรือฉีดยาให้ เปรียบเสมือนหมอช่วย "ดับไฟ" ที่กำลังไหม้บ้าน แต่ถ้าคนไข้กลับไปบ้านแล้วยัง "เติมน้ำมัน" (พฤติกรรมทำร้ายเข่า) เข้าไปในกองไฟอีก ไฟมันก็ไม่มีวันดับสนิทครับ

ดังนั้น ปัจจัยที่จะทำให้การรักษาได้ผลดี จึงอยู่ที่สมดุลระหว่าง "การรักษาของหมอ" + "การดูแลตัวเองของคนไข้" ครับ


เจาะลึกความรู้: 4 ปัจจัยชี้ชะตา ผลการรักษาข้อเข่าเสื่อม

จากการรักษาคนไข้มานับหมื่นราย หมอพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จมีดังนี้ครับ:

1. น้ำหนักตัว (Body Weight) - ปัจจัยอันดับ 1 นี่คือ "กุญแจดอกสำคัญที่สุด" ครับ

  • หลักการ: น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะกลายเป็นแรงกระแทกที่เข่าถึง 4-5 กิโลกรัม เวลาเดิน
  • ถ้าคุณลดน้ำหนักได้เพียง 1 กิโลกรัม แรงกระแทกที่เข่าจะหายไปถึง 4 กิโลกรัม!
  • ความจริง: คนไข้ที่น้ำหนักเกิน หากไม่ลดน้ำหนัก การฉีดยาหรือกินยาจะได้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้นครับ

2. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps Strength)

  • กล้ามเนื้อหน้าขา เปรียบเสมือน "โช้คอัพรถยนต์" ครับ
  • ถ้าโช้คอัพ (กล้ามเนื้อ) แข็งแรง มันจะช่วยรับแรงกระแทกแทนกระดูกข้อเข่า ทำให้กระดูกไม่ต้องชนกันแรงๆ
  • คนไข้ที่ขาลีบ กล้ามเนื้อเหลว มักจะปวดเรื้อรังและรักษายากกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรง

3. ระยะของโรค (Stage of Osteoarthritis)

  • ระยะ 1-2 (เสื่อมเริ่มต้น): รักษาง่ายมาก แค่ปรับพฤติกรรมก็หายได้
  • ระยะ 3 (เสื่อมปานกลาง): เริ่มต้องใช้ยาฉีดช่วย และต้องวินัยสูง
  • ระยะ 4 (เสื่อมรุนแรง/เข่าโก่ง): กระดูกชนกันจนไม่มีผิวกระดูกเหลือแล้ว การกินยาหรือฉีดยาอาจช่วยได้น้อยมาก ทางออกอาจต้องจบที่การผ่าตัด

4. พฤติกรรมการใช้งาน (Daily Activity)

  • ใครที่ชอบนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือขึ้นลงบันไดสูงๆ บ่อยๆ เป็นการเพิ่มแรงดันในข้อเข่ามหาศาล ทำให้ผิวกระดูกเสียดสีกันรุนแรง การรักษาจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรครับ

ทำอย่างไรให้ดีขึ้น? : คู่มือดูแลตัวเองฉบับเร่งด่วน

ถ้าอยากให้การรักษาได้ผลดีขึ้นแบบป้าแดง หมอขอแนะนำให้เริ่มทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่วันนี้ครับ:

  1. ลดน้ำหนักทันที: ตัดของหวาน ตัดน้ำตาล ทานแป้งให้น้อยลง เน้นโปรตีนจากปลาหรืออกไก่ เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
  2. บริหารหน้าขาให้แข็ง:
    • นั่งเก้าอี้ เตะขาขึ้นตรงๆ เกร็งค้างไว้ นับ 1-10 แล้วเอาลง ทำข้างละ 20 ครั้ง เช้า-เย็น (ทำทุกวันเหมือนแปรงฟัน)
  3. เลี่ยงท่านั่งทำลายเข่า: เลิกนั่งพื้น หันมานั่งเก้าอี้ห้อยขา เปลี่ยนส้วมเป็นชักโครก
  4. ออกกำลังกายไร้แรงกระแทก: เช่น เดินในน้ำ (ดีที่สุด), ปั่นจักรยานอยู่กับที่, หรือเดินทางราบช้าๆ

การรักษาทางการแพทย์ (ส่วนที่หมอช่วยคุณ)

เมื่อคุณดูแลตัวเองดีแล้ว ส่วนของหมอจะเข้าไปเสริมให้สมบูรณ์ขึ้นครับ:

  • การเอกซเรย์ท่ายืน: เพื่อประเมินระยะโรคที่แท้จริง
  • ยาแก้ปวด/ลดอักเสบ: ใช้เฉพาะช่วงที่ปวดมาก ไม่กินพร่ำเพรื่อ
  • การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเทียม หรือ PRP (เกล็ดเลือด): เพื่อช่วยหล่อลื่นและฟื้นฟูสภาพข้อในระยะยาว เหมาะมากสำหรับคนที่ปรับพฤติกรรมร่วมด้วย
  • การผ่าตัด: เก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อเข่าโก่งมาก หรือใช้งานชีวิตประจำวันไม่ได้แล้วจริงๆ

สรุป

การรักษาข้อเข่าเสื่อมให้ได้ผลดี ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องของ "ความเข้าใจและวินัย" ครับ

ถ้าวันนี้คุณกินยาแล้วยังไม่หายปวด อย่าเพิ่งท้อใจครับ ลองกลับมาสำรวจ 4 ปัจจัยที่หมอบอกไปข้างต้น

  • น้ำหนักลดหรือยัง?
  • กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้นไหม?
  • ยังนั่งพับเพียบอยู่หรือเปล่า?

เริ่มปรับแก้ทีละจุด แล้วคุณจะพบว่า ร่างกายของเรามหัศจรรย์มาก และพร้อมที่จะฟื้นฟูตัวเองเสมอ ถ้าเราดูแลเขาดีพอครับ


บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#ข้อเข่าเสื่อม #ปวดเข่า #ลดน้ำหนักแก้ปวดเข่า #บริหารเข่า #หมอเก่งกระดูกและข้อ #Doctorkeng #เชียงใหม่ #PRPข้อเข่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น