รักษา "ข้อเข่าเสื่อม" ทำไมบางคนดีขึ้นไว แต่บางคนไม่หายสักที? ปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่ตรงไหน?
เคยสงสัยไหมครับ? ว่าทำไมคนข้างบ้านไปหาหมอ ฉีดยาเข็มเดียวเดินปร๋อ แต่เรากินยาก็แล้ว กายภาพก็แล้ว ทำไมยังปวดตื้อๆ อยู่เหมือนเดิม? หรือหมอเลี้ยงไข้? หรือยาไม่ดี?
หมออยากบอกความลับอย่างหนึ่งครับ... การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้ได้ผลดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ยาที่แพงที่สุด" หรือ "หมอที่เก่งที่สุด" เพียงอย่างเดียวครับ แต่มันขึ้นอยู่กับ "จิ๊กซอว์ชีวิต" ของคนไข้แต่ละคนที่ประกอบกันออกมาต่างหาก
วันนี้หมอจะพามาดูปัจจัยสำคัญ 4 ข้อ ที่เป็นตัวกำหนดว่า การรักษาข้อเข่าของคุณจะ "รุ่ง" หรือ "ร่วง" พร้อมวิธีที่จะช่วยให้เข่าของคุณกลับมาใช้งานได้ดีขึ้นครับ
เรื่องเล่าจากห้องตรวจ: "ป้าแดง" ผู้ชนะ กับ "ลุงขาว" ผู้พ่ายแพ้
หมอมีคนไข้ 2 ท่าน อายุ 65 ปีเท่ากัน เป็นเข่าเสื่อมระยะ 3 เหมือนกันเป๊ะ
- ลุงขาว: มาหาหมอทุกเดือน ขอยาแก้ปวดที่แรงที่สุด ฉีดยาตัวแพงสุด แต่กลับบ้านไป ลุงขาวชอบนั่งพับเพียบคุยกับเพื่อน กินของหวาน และไม่ยอมเดินออกกำลังกาย เพราะกลัวเจ็บ
- ป้าแดง: วันแรกที่มาหาหมอ ป้าแดงตกใจที่เห็นเอกซเรย์เข่าตัวเอง หมอแนะนำให้ลดน้ำหนักและบริหารกล้ามเนื้อ ป้าแดงกลับไปทำจริงจัง ลดข้าว ลดของหวาน แกว่งขาในน้ำทุกวัน
ผ่านไป 6 เดือน... ลุงขาว อาการแย่ลงจนเริ่มคุยเรื่องผ่าตัด ส่วน ป้าแดง เดินเข้ามาในห้องตรวจด้วยรอยยิ้ม บอกว่า "หมอคะ ป้าแทบไม่ต้องกินยาแก้ปวดแล้ว"
เรื่องนี้สอนให้เห็นชัดเจนเลยครับว่า "พฤติกรรมกำหนดชะตาเข่า" จริงๆ
ความจริงที่หมออยากบอก: การรักษาคือ "งานกลุ่ม" ไม่ใช่ "งานเดี่ยว"
โรคข้อเข่าเสื่อม ไม่เหมือนไข้หวัดที่กินยาฆ่าเชื้อแล้วจบครับ แต่มันคือ "ความเสื่อมสภาพของอะไหล่" ที่สะสมมานานหลายสิบปี
การที่หมอจ่ายยา หรือฉีดยาให้ เปรียบเสมือนหมอช่วย "ดับไฟ" ที่กำลังไหม้บ้าน แต่ถ้าคนไข้กลับไปบ้านแล้วยัง "เติมน้ำมัน" (พฤติกรรมทำร้ายเข่า) เข้าไปในกองไฟอีก ไฟมันก็ไม่มีวันดับสนิทครับ
ดังนั้น ปัจจัยที่จะทำให้การรักษาได้ผลดี จึงอยู่ที่สมดุลระหว่าง "การรักษาของหมอ" + "การดูแลตัวเองของคนไข้" ครับ
เจาะลึกความรู้: 4 ปัจจัยชี้ชะตา ผลการรักษาข้อเข่าเสื่อม
จากการรักษาคนไข้มานับหมื่นราย หมอพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จมีดังนี้ครับ:
1. น้ำหนักตัว (Body Weight) - ปัจจัยอันดับ 1 นี่คือ "กุญแจดอกสำคัญที่สุด" ครับ
- หลักการ: น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะกลายเป็นแรงกระแทกที่เข่าถึง 4-5 กิโลกรัม เวลาเดิน
- ถ้าคุณลดน้ำหนักได้เพียง 1 กิโลกรัม แรงกระแทกที่เข่าจะหายไปถึง 4 กิโลกรัม!
- ความจริง: คนไข้ที่น้ำหนักเกิน หากไม่ลดน้ำหนัก การฉีดยาหรือกินยาจะได้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้นครับ
2. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps Strength)
- กล้ามเนื้อหน้าขา เปรียบเสมือน "โช้คอัพรถยนต์" ครับ
- ถ้าโช้คอัพ (กล้ามเนื้อ) แข็งแรง มันจะช่วยรับแรงกระแทกแทนกระดูกข้อเข่า ทำให้กระดูกไม่ต้องชนกันแรงๆ
- คนไข้ที่ขาลีบ กล้ามเนื้อเหลว มักจะปวดเรื้อรังและรักษายากกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรง
3. ระยะของโรค (Stage of Osteoarthritis)
- ระยะ 1-2 (เสื่อมเริ่มต้น): รักษาง่ายมาก แค่ปรับพฤติกรรมก็หายได้
- ระยะ 3 (เสื่อมปานกลาง): เริ่มต้องใช้ยาฉีดช่วย และต้องวินัยสูง
- ระยะ 4 (เสื่อมรุนแรง/เข่าโก่ง): กระดูกชนกันจนไม่มีผิวกระดูกเหลือแล้ว การกินยาหรือฉีดยาอาจช่วยได้น้อยมาก ทางออกอาจต้องจบที่การผ่าตัด
4. พฤติกรรมการใช้งาน (Daily Activity)
- ใครที่ชอบนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือขึ้นลงบันไดสูงๆ บ่อยๆ เป็นการเพิ่มแรงดันในข้อเข่ามหาศาล ทำให้ผิวกระดูกเสียดสีกันรุนแรง การรักษาจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรครับ
ทำอย่างไรให้ดีขึ้น? : คู่มือดูแลตัวเองฉบับเร่งด่วน
ถ้าอยากให้การรักษาได้ผลดีขึ้นแบบป้าแดง หมอขอแนะนำให้เริ่มทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่วันนี้ครับ:
- ลดน้ำหนักทันที: ตัดของหวาน ตัดน้ำตาล ทานแป้งให้น้อยลง เน้นโปรตีนจากปลาหรืออกไก่ เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
- บริหารหน้าขาให้แข็ง:
- นั่งเก้าอี้ เตะขาขึ้นตรงๆ เกร็งค้างไว้ นับ 1-10 แล้วเอาลง ทำข้างละ 20 ครั้ง เช้า-เย็น (ทำทุกวันเหมือนแปรงฟัน)
- เลี่ยงท่านั่งทำลายเข่า: เลิกนั่งพื้น หันมานั่งเก้าอี้ห้อยขา เปลี่ยนส้วมเป็นชักโครก
- ออกกำลังกายไร้แรงกระแทก: เช่น เดินในน้ำ (ดีที่สุด), ปั่นจักรยานอยู่กับที่, หรือเดินทางราบช้าๆ
การรักษาทางการแพทย์ (ส่วนที่หมอช่วยคุณ)
เมื่อคุณดูแลตัวเองดีแล้ว ส่วนของหมอจะเข้าไปเสริมให้สมบูรณ์ขึ้นครับ:
- การเอกซเรย์ท่ายืน: เพื่อประเมินระยะโรคที่แท้จริง
- ยาแก้ปวด/ลดอักเสบ: ใช้เฉพาะช่วงที่ปวดมาก ไม่กินพร่ำเพรื่อ
- การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเทียม หรือ PRP (เกล็ดเลือด): เพื่อช่วยหล่อลื่นและฟื้นฟูสภาพข้อในระยะยาว เหมาะมากสำหรับคนที่ปรับพฤติกรรมร่วมด้วย
- การผ่าตัด: เก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อเข่าโก่งมาก หรือใช้งานชีวิตประจำวันไม่ได้แล้วจริงๆ
สรุป
การรักษาข้อเข่าเสื่อมให้ได้ผลดี ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องของ "ความเข้าใจและวินัย" ครับ
ถ้าวันนี้คุณกินยาแล้วยังไม่หายปวด อย่าเพิ่งท้อใจครับ ลองกลับมาสำรวจ 4 ปัจจัยที่หมอบอกไปข้างต้น
- น้ำหนักลดหรือยัง?
- กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้นไหม?
- ยังนั่งพับเพียบอยู่หรือเปล่า?
เริ่มปรับแก้ทีละจุด แล้วคุณจะพบว่า ร่างกายของเรามหัศจรรย์มาก และพร้อมที่จะฟื้นฟูตัวเองเสมอ ถ้าเราดูแลเขาดีพอครับ
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666
#ข้อเข่าเสื่อม #ปวดเข่า #ลดน้ำหนักแก้ปวดเข่า #บริหารเข่า #หมอเก่งกระดูกและข้อ #Doctorkeng #เชียงใหม่ #PRPข้อเข่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น