เมื่อ "เข่า" เริ่มประท้วง... ปวดเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ต้องจบที่การผ่าตัดจริงไหม?
เคยไหมครับ? ที่ตื่นเช้ามาแล้วก้าวลงจากเตียง รู้สึกขัดๆ ที่หัวเข่า หรือเวลานั่งพับเพียบไหว้พระ นั่งยองๆ ซักผ้า แล้วตอนจะลุกขึ้นยืน เหมือนมีอะไรมาล็อคขาไว้ เจ็บแปร๊บจนต้องหาที่เกาะ
เสียง "กร๊อบแกร๊บ" ในเข่าที่ดังทุกครั้งที่ขยับ มันเหมือนสัญญาณเตือนภัยที่ทำให้หลายคนกังวลใจ จนไม่กล้าไปหาหมอ เพราะกลัวคำว่า "ผ่าตัด"
หมออยากบอกว่า... ความกลัวนั่นแหละครับ ที่น่ากลัวกว่าตัวโรคจริงๆ วันนี้หมอเก่งจะมาเล่าให้ฟังแบบหมดเปลือก สบายๆ เหมือนเรานั่งคุยกันที่หน้าบ้านครับ
เรื่องเล่าจากห้องตรวจ: ความกลัวของคุณป้าสมศรี
เมื่อสัปดาห์ก่อน มีคนไข้ท่านหนึ่งชื่อ "คุณป้าสมศรี" (นามสมมติ) อายุ 68 ปี ลูกชายต้องประคองปีกเข้ามาในห้องตรวจ ท่านเดินตัวโยกเยก ขาโก่งเล็กน้อย ใบหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดชัดเจน
"ป้าเจ็บมานานหรือยังครับ?" ผมถาม
ป้าสมศรีตอบเสียงอ่อยๆ "เจ็บมา 2-3 ปีแล้วค่ะคุณหมอ แต่ป้าไม่กล้ามา ป้ากลัวโดนจับผ่าตัด ป้ากลัวเดินไม่ได้เหมือนคนข้างบ้าน ป้าเลยซื้อยาชุดกินเองบ้าง ทายาหม่องบ้าง จนวันนี้มันไม่ไหวแล้วลูกชายเลยบังคับมา"
เชื่อไหมครับว่า คนไข้กว่าครึ่งที่หมอเจอ คิดแบบป้าสมศรี คือ "ทนเจ็บดีกว่าเจ็บตัวจากการผ่าตัด" จนปล่อยให้อาการที่เป็นเพียง "ระยะเริ่มต้น" ที่รักษาได้ง่ายๆ กลายเป็น "ระยะรุนแรง" ที่รักษายาก
ความจริงที่หมออยากบอก
หมอขอยืนยันตรงนี้เลยนะครับว่า "ข้อเข่าเสื่อม ไม่ได้แปลว่าต้องผ่าตัดทุกคน"
การผ่าตัดคือทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เมื่อเราลองวิธีอื่นมาหมดแล้วไม่ได้ผล การที่คุณรีบมาหาหมอตั้งแต่เริ่มปวด จะช่วย "ยืดอายุการใช้งาน" ของเข่าคุณไปได้อีกนานแสนนาน เหมือนเรารู้ว่ารถเริ่มมีเสียงดัง ถ้าเรารีบเอารถเข้าอู่ซ่อมบำรุง เราก็ใช้รถคันนั้นต่อได้อีกเป็นสิบปีครับ
ทำความรู้จักกับ "โรคข้อเข่าเสื่อม" แบบง่ายๆ
ลองจินตนาการถึง "ยางรถยนต์" หรือ "พื้นรองเท้า" ที่เราใช้เดินทุกวันครับ ภายในเข่าของเราจะมีกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบาะรองรับแรงกระแทก เคลือบอยู่ที่ปลายกระดูก
เมื่อเราใช้งานมานานหลายสิบปี น้ำหนักตัวที่กดทับ การงอเข่าซ้ำๆ หรือเคยเกิดอุบัติเหตุ ผิวกระดูกอ่อนที่เคยเรียบลื่น มันจะเริ่มสึกหรอ ขรุขระ บางลงเรื่อยๆ
เมื่อตัวกันกระแทกหายไป กระดูกแข็งๆ ก็จะมาเสียดสีกันเอง จนเกิดอาการอักเสบ ปวด บวม และเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บเวลาขยับนั่นเองครับ
อาการแบบไหนที่ต้องสงสัย?
ลองสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ตัวดูนะครับ ถ้ามีอาการเหล่านี้ อาจจะเป็นสัญญาณเตือนครับ
- ปวด: มักจะปวดเวลาใช้งาน เช่น เดินไกลๆ ขึ้นลงบันได นั่งยองๆ พอนั่งพักแล้วจะดีขึ้น
- ขัด: รู้สึกตึงๆ ขัดๆ ในข้อเข่า โดยเฉพาะตอนตื่นนอน หรือหลังจากนั่งนานๆ แล้วจะลุกเดิน (เรียกว่า อาการฝืดตึง)
- เสียง: มีเสียงดังในข้อเวลาขยับ
- ผิดรูป: ในรายที่เป็นมาก เข่าจะเริ่มโก่งออก หรือบิดเบี้ยว ทำให้เดินตัวโยก
- บวม: ถ้าช่วงไหนใช้งานหนัก เข่าอาจจะบวมแดงและร้อนขึ้นมา
หมอตรวจยังไง? เจ็บไหม?
การตรวจวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม ไม่น่ากลัวเลยครับ
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย: หมอจะให้เดินให้ดู จับดูการขยับของข้อ ดูแนวขา
- เอกซเรย์ (X-ray): อันนี้สำคัญมากครับ เราต้องเอกซเรย์ในท่า "ยืนลงน้ำหนัก" เพื่อดูช่องว่างระหว่างกระดูก ถ้าช่องว่างมันหายไป หรือกระดูกมันชิดกัน แปลว่ากระดูกอ่อนมันสึกไปมากแล้ว และดูว่ามี "กระดูกงอก" หรือหินปูนเกาะอยู่ไหม
- อัลตราซาวด์ (Ultrasound): ในบางกรณี หมออาจใช้เครื่องอัลตราซาวด์ เพื่อดูว่ามีน้ำในข้อเข่าไหม มีถุงน้ำ หรือเส้นเอ็นอักเสบร่วมด้วยหรือเปล่า ซึ่งไม่เจ็บเลยครับ เหมือนตรวจท้องคนท้องเลย
ใครบ้างที่มีความเสี่ยง?
- อายุ: ยิ่งอายุมาก อะไหล่ก็ย่อมสึกหรอตามกาลเวลา
- น้ำหนักตัว: นี่คือ "ปัจจัยสำคัญที่สุด" ครับ ทุกๆ 1 กิโลกรัมที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เข่าต้องรับแรงกระแทกเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าเวลาเดิน
- พฤติกรรม: การนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ บ่อยๆ เป็นเวลานานๆ หรือขึ้นลงบันไดสูงๆ ประจำ
- ประวัติการบาดเจ็บ: เคยเข่ากระแทก เอ็นฉีก หรือกระดูกหักบริเวณรอบเข่า
แนวทางการรักษา (โดยไม่ต้องผ่าตัด)
ถ้าคุณมาหาหมอเร็ว เรามีวิธีจัดการเยอะมากครับ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (สำคัญที่สุด):
- ลดน้ำหนัก: เป็นยาขนานเอกที่ดีที่สุดครับ ลดน้ำหนักลงได้ อาการปวดจะหายไปเยอะมาก
- เลี่ยงท่านั่งทำลายเข่า: เลี่ยงการนั่งยอง พับเพียบ ขัดสมาธิ หรือใช้ส้วมซึม เปลี่ยนมานั่งเก้าอี้ห้อยขา และใช้ชักโครกแบบนั่งราบแทนครับ
- บริหารกล้ามเนื้อ: การทำกายภาพบริหารกล้ามเนื้อหน้าขาให้แข็งแรง จะช่วยพยุงข้อเข่า ลดภาระการรับน้ำหนักของกระดูกได้ดีมาก
- การใช้ยา:
- ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ หมอจะจ่ายให้เฉพาะช่วงที่มีอาการปวดเฉียบพลัน เพื่อให้หายเจ็บและกลับไปทำกายภาพได้ ไม่แนะนำให้ซื้อกินเองต่อเนื่องนานๆ เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะและไตได้ครับ
- การฉีดยา (ทางเลือกที่เห็นผลดี):
- ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีการฉีดยาที่แม่นยำขึ้น โดยใช้ "อัลตราซาวด์นำวิถี" ช่วยระบุตำแหน่ง เพื่อให้ยาเข้าไปยังจุดที่มีปัญหาจริงๆ โดยไม่ต้องเดาสุ่ม
- น้ำเลี้ยงข้อเทียม (Hyaluronic Acid): เข้าไปช่วยหล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน เหมือนการเติมน้ำมันเครื่องให้รถ ทำให้ขยับได้ลื่นขึ้น ลดเสียงดัง ลดปวด
- เกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP): คือการนำเลือดของคนไข้เอง มาปั่นแยกเอาเฉพาะส่วนที่มีสารช่วยซ่อมแซม แล้วฉีดกลับเข้าไปที่เข่า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ (เหมาะกับระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง)
- กายภาพบำบัด:
- การใช้ความร้อน อัลตราซาวด์ หรือเลเซอร์ ช่วยลดปวดและคลายกล้ามเนื้อ
แล้วเมื่อไหร่ต้องผ่าตัด?
หมอจะพิจารณาการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ก็ต่อเมื่อ:
- เข่าเสื่อมในระยะรุนแรงมาก (กระดูกชนกระดูก)
- ขาโก่งผิดรูปจนเดินลำบาก
- รักษาด้วยวิธีอื่นๆ เต็มที่แล้ว อาการปวดไม่ลดลง รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน นอนไม่หลับเพราะปวด
แต่เทคโนโลยีการผ่าตัดเดี๋ยวนี้ก็ก้าวหน้าไปมากครับ แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว เดินได้ตั้งแต่วันแรกๆ หลังผ่าตัด ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
บทส่งท้ายจากใจหมอ
โรคข้อเข่าเสื่อม แม้จะรักษาให้หายขาดจนกลับไปเป็นเข่าเด็กวัยรุ่นไม่ได้ แต่เราสามารถ "ชะลอ" ความเสื่อม และอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขครับ
อย่ารอให้เดินไม่ได้แล้วค่อยมาหาหมอ การดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ คือของขวัญที่ดีที่สุดที่คุณจะมอบให้ร่างกายตัวเองครับ หมอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังต่อสู้กับอาการปวดเข่านะครับ
ลูกหลานท่านใดอ่านจบแล้ว อย่าลืมหันไปถามคุณพ่อคุณแม่นะครับว่า "วันนี้เจ็บเข่าไหม?" ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ อาจช่วยให้ท่านเดินไปกับเราได้อีกนานครับ
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng
#ปวดเข่า #ข้อเข่าเสื่อม #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ไม่ต้องผ่าตัด #ดูแลผู้สูงอายุ #กระดูกและข้อ #DoctorKeng

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น