
เปรียบเทียบการรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วย PRP และการฉีดยาสเตียรอยด์ — เลือกแบบไหนดีสำหรับอาการของคุณ?
การรักษาข้อเข่าเสื่อมปัจจุบันมีหลายวิธี ทั้งการกายภาพ การฉีดสารหล่อลื่น PRP และการฉีดยาสเตียรอยด์ แต่สองวิธีที่คนไข้ถามบ่อยที่สุดคือ PRP (Platelet-Rich Plasma) กับ การฉีดยาสเตียรอยด์ ว่าต่างกันอย่างไร และแบบไหนเหมาะกับอาการของเรา
บทความนี้หมอเขียนใหม่ให้เข้าใจง่าย โดย ไม่ใช้ตาราง และสรุปให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าแต่ละวิธีเหมาะกับใคร
PRP คืออะไร และทำงานอย่างไร
PRP คือการนำเลือดของผู้ป่วยเองไปปั่นให้ได้ชั้นของเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งมีสารกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (growth factors) จากนั้นฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่าเพื่อช่วยลดอักเสบและกระตุ้นการฟื้นฟูบริเวณที่เสื่อม
สิ่งที่ PRP ทำได้ดีคือ:
ลดอักเสบแบบเรื้อรัง
ช่วยให้ของเหลวในข้อทำงานดีขึ้น
บรรเทาปวดค่อยเป็นค่อยไป
ผลอยู่ได้นานกว่า 6–12 เดือนในหลายราย
สิ่งที่ PRP “ไม่ทำ” คือการสร้างกระดูกอ่อนให้กลับมาใหม่ทั้งหมด แต่ช่วยให้อาการดีขึ้นและชะลอพยาธิสภาพได้ระดับหนึ่งในข้อเข่าเสื่อมระยะต้น–กลาง
การฉีดยาสเตียรอยด์คืออะไร
สเตียรอยด์เป็นยาลดการอักเสบที่ออกฤทธิ์แรงและเร็ว แพทย์ฉีดตรงเข้าไปในข้อเพื่อยับยั้งสารอักเสบอย่างรวดเร็ว จึงเหมาะกับผู้ที่ปวดมากหรือข้ออักเสบกำเริบ
ข้อดีของการฉีดสเตียรอยด์:
ลดปวดได้ภายใน 24–48 ชั่วโมง
ลดบวม ลดร้อนแดงได้ดี
เหมาะกับช่วงอาการกำเริบหรือเจ็บรุนแรง
ข้อจำกัดคือผลอยู่ไม่นาน โดยมาก 4–8 สัปดาห์ และไม่ควรฉีดบ่อยเกิน 3–4 ครั้งต่อปี เพราะอาจทำให้กระดูกอ่อนบางลงได้
ผลลัพธ์ระยะสั้นและระยะยาวต่างกันอย่างไร
ถ้าคุณต้องการผลเร็วที่สุด เช่น ปวดเข่าจนเดินไม่ได้ เข่าบวมแดงมาก วิธีที่ตอบโจทย์ที่สุดคือ สเตียรอยด์ เพราะออกฤทธิ์เร็ว
แต่ถ้าคุณมีอาการแบบเรื้อรัง ไม่ได้บวมแดงมาก ต้องการผลที่อยู่ได้นานขึ้น ลดปวดแบบไม่เร่งด่วน และเหมาะกับการทำกายภาพร่วมด้วย PRP มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า
โดยรวม:
สเตียรอยด์ → เหมาะกับการลดปวดเฉียบพลัน ระยะสั้น
PRP → เหมาะกับการควบคุมอาการระยะยาว และช่วยชะลอการอักเสบเรื้อรัง
เคสที่เหมาะกับ PRP
คุณน่าจะเหมาะกับ PRP ถ้า:
ข้อเข่าเสื่อมระดับต้นถึงปานกลาง (ช่องข้อยังไม่แคบมาก)
อาการปวดเป็นแบบเรื้อรัง ไม่ได้บวมแดงร้อนมาก
อายุ 30–65 ปี ยังทำกิจกรรมได้ และต้องการชะลอการเสื่อม
ไม่ต้องการหรือไม่เหมาะกับการใช้สเตียรอยด์
พร้อมทำกายภาพบำบัดควบคู่
PRP จะเห็นผลดีที่สุดเมื่อดูแลน้ำหนัก ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมร่วมด้วย
เคสที่เหมาะกับการฉีดยาสเตียรอยด์
สเตียรอยด์เหมาะกับ:
เข่าบวมแดงมาก อักเสบมาก
ปวดจนเดินไม่ได้ ต้องการผลเร็วภายใน 1–2 วัน
โรคข้ออักเสบจากภูมิคุ้มกันที่ยังไม่คุมอาการ
ผู้สูงอายุที่ต้องการลดปวดช่วงสั้น
แต่ถ้าต้องฉีดบ่อย ๆ อาจส่งผลเสียต่อกระดูกอ่อน จึงควรใช้เฉพาะช่วงที่จำเป็นจริง ๆ
ความปลอดภัยของการรักษา
ความปลอดภัยของ PRP
ใช้เลือดตัวเอง → ไม่แพ้
ปวดตึง 1–3 วันแรกถือว่าเป็นปกติ
หลีกเลี่ยง NSAIDs หลังฉีด 7–10 วัน
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำหรือโรคเลือดบางชนิด
ความปลอดภัยของสเตียรอยด์
ลดปวดเร็วมาก แต่ต้องระวัง:
น้ำตาลขึ้นในผู้เป็นเบาหวาน
กระดูกอ่อนบางลงถ้าฉีดถี่
อาจมีอาการปวดแสบร้อน 1–2 วัน
หมอสรุปแบบเข้าใจง่าย
ถ้าปวดมาก บวมแดง อยากดีเร็ว → ฉีดสเตียรอยด์เหมาะกว่า
ถ้าเป็นปวดเรื้อรัง ต้องการผลยาวนาน และอยู่ในระยะต้นถึงปานกลาง → PRP ตอบโจทย์กว่า
ไม่มีวิธีใดดีกว่าอีกวิธี 100% ต้องเลือกให้ ตรงอาการ ตรงระยะโรค และตรงความต้องการของผู้ป่วย
สุดท้าย การลดน้ำหนัก ออกกำลังกายเสริมเข่า และปรับพฤติกรรมคือหัวใจสำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดในการรักษา
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)
ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ
📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666
#PRP #สเตียรอยด์ #ข้อเข่าเสื่อม #ฉีดเข่า #หมอเก่ง #ปวดเข่า #สุขภาพเข่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น