วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เปรียบเทียบการรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วย PRP และการฉีดยาสเตียรอยด์ — เลือกแบบไหนดีสำหรับอาการของคุณ?


เปรียบเทียบการรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วย PRP และการฉีดยาสเตียรอยด์ — เลือกแบบไหนดีสำหรับอาการของคุณ?

การรักษาข้อเข่าเสื่อมปัจจุบันมีหลายวิธี ทั้งการกายภาพ การฉีดสารหล่อลื่น PRP และการฉีดยาสเตียรอยด์ แต่สองวิธีที่คนไข้ถามบ่อยที่สุดคือ PRP (Platelet-Rich Plasma) กับ การฉีดยาสเตียรอยด์ ว่าต่างกันอย่างไร และแบบไหนเหมาะกับอาการของเรา

บทความนี้หมอเขียนใหม่ให้เข้าใจง่าย โดย ไม่ใช้ตาราง และสรุปให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าแต่ละวิธีเหมาะกับใคร

PRP คืออะไร และทำงานอย่างไร

PRP คือการนำเลือดของผู้ป่วยเองไปปั่นให้ได้ชั้นของเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งมีสารกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (growth factors) จากนั้นฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่าเพื่อช่วยลดอักเสบและกระตุ้นการฟื้นฟูบริเวณที่เสื่อม

สิ่งที่ PRP ทำได้ดีคือ:

  • ลดอักเสบแบบเรื้อรัง

  • ช่วยให้ของเหลวในข้อทำงานดีขึ้น

  • บรรเทาปวดค่อยเป็นค่อยไป

  • ผลอยู่ได้นานกว่า 6–12 เดือนในหลายราย

สิ่งที่ PRP “ไม่ทำ” คือการสร้างกระดูกอ่อนให้กลับมาใหม่ทั้งหมด แต่ช่วยให้อาการดีขึ้นและชะลอพยาธิสภาพได้ระดับหนึ่งในข้อเข่าเสื่อมระยะต้น–กลาง

การฉีดยาสเตียรอยด์คืออะไร

สเตียรอยด์เป็นยาลดการอักเสบที่ออกฤทธิ์แรงและเร็ว แพทย์ฉีดตรงเข้าไปในข้อเพื่อยับยั้งสารอักเสบอย่างรวดเร็ว จึงเหมาะกับผู้ที่ปวดมากหรือข้ออักเสบกำเริบ

ข้อดีของการฉีดสเตียรอยด์:

  • ลดปวดได้ภายใน 24–48 ชั่วโมง

  • ลดบวม ลดร้อนแดงได้ดี

  • เหมาะกับช่วงอาการกำเริบหรือเจ็บรุนแรง

ข้อจำกัดคือผลอยู่ไม่นาน โดยมาก 4–8 สัปดาห์ และไม่ควรฉีดบ่อยเกิน 3–4 ครั้งต่อปี เพราะอาจทำให้กระดูกอ่อนบางลงได้

ผลลัพธ์ระยะสั้นและระยะยาวต่างกันอย่างไร

ถ้าคุณต้องการผลเร็วที่สุด เช่น ปวดเข่าจนเดินไม่ได้ เข่าบวมแดงมาก วิธีที่ตอบโจทย์ที่สุดคือ สเตียรอยด์ เพราะออกฤทธิ์เร็ว

แต่ถ้าคุณมีอาการแบบเรื้อรัง ไม่ได้บวมแดงมาก ต้องการผลที่อยู่ได้นานขึ้น ลดปวดแบบไม่เร่งด่วน และเหมาะกับการทำกายภาพร่วมด้วย PRP มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า

โดยรวม:

  • สเตียรอยด์ → เหมาะกับการลดปวดเฉียบพลัน ระยะสั้น

  • PRP → เหมาะกับการควบคุมอาการระยะยาว และช่วยชะลอการอักเสบเรื้อรัง

เคสที่เหมาะกับ PRP

คุณน่าจะเหมาะกับ PRP ถ้า:

  • ข้อเข่าเสื่อมระดับต้นถึงปานกลาง (ช่องข้อยังไม่แคบมาก)

  • อาการปวดเป็นแบบเรื้อรัง ไม่ได้บวมแดงร้อนมาก

  • อายุ 30–65 ปี ยังทำกิจกรรมได้ และต้องการชะลอการเสื่อม

  • ไม่ต้องการหรือไม่เหมาะกับการใช้สเตียรอยด์

  • พร้อมทำกายภาพบำบัดควบคู่

PRP จะเห็นผลดีที่สุดเมื่อดูแลน้ำหนัก ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมร่วมด้วย

เคสที่เหมาะกับการฉีดยาสเตียรอยด์

สเตียรอยด์เหมาะกับ:

  • เข่าบวมแดงมาก อักเสบมาก

  • ปวดจนเดินไม่ได้ ต้องการผลเร็วภายใน 1–2 วัน

  • โรคข้ออักเสบจากภูมิคุ้มกันที่ยังไม่คุมอาการ

  • ผู้สูงอายุที่ต้องการลดปวดช่วงสั้น

แต่ถ้าต้องฉีดบ่อย ๆ อาจส่งผลเสียต่อกระดูกอ่อน จึงควรใช้เฉพาะช่วงที่จำเป็นจริง ๆ

ความปลอดภัยของการรักษา

ความปลอดภัยของ PRP

  • ใช้เลือดตัวเอง → ไม่แพ้

  • ปวดตึง 1–3 วันแรกถือว่าเป็นปกติ

  • หลีกเลี่ยง NSAIDs หลังฉีด 7–10 วัน

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำหรือโรคเลือดบางชนิด

ความปลอดภัยของสเตียรอยด์

  • ลดปวดเร็วมาก แต่ต้องระวัง:

    • น้ำตาลขึ้นในผู้เป็นเบาหวาน

    • กระดูกอ่อนบางลงถ้าฉีดถี่

    • อาจมีอาการปวดแสบร้อน 1–2 วัน

หมอสรุปแบบเข้าใจง่าย

  • ถ้าปวดมาก บวมแดง อยากดีเร็ว → ฉีดสเตียรอยด์เหมาะกว่า

  • ถ้าเป็นปวดเรื้อรัง ต้องการผลยาวนาน และอยู่ในระยะต้นถึงปานกลาง → PRP ตอบโจทย์กว่า

  • ไม่มีวิธีใดดีกว่าอีกวิธี 100% ต้องเลือกให้ ตรงอาการ ตรงระยะโรค และตรงความต้องการของผู้ป่วย

สุดท้าย การลดน้ำหนัก ออกกำลังกายเสริมเข่า และปรับพฤติกรรมคือหัวใจสำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดในการรักษา

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)
ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ
📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#PRP #สเตียรอยด์ #ข้อเข่าเสื่อม #ฉีดเข่า #หมอเก่ง #ปวดเข่า #สุขภาพเข่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น