
PRP รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ได้ผลจริงไหม? เหมาะกับใคร และไม่เหมาะกับใคร
ช่วงหลังมีคลินิกหลายแห่ง—includingในจังหวัดขอนแก่นและต่างจังหวัด—โปรโมตการรักษาเข่าเสื่อมด้วยการ “ดูดเลือดไปปั่นเอาเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP: Platelet-Rich Plasma) แล้วฉีดกลับเข้าเข่า” ทำให้หลายคนสงสัยว่า ได้ผลจริงไหม ปลอดภัยหรือไม่ และควรทำในเคสแบบใด?
หมอเขียนบทความนี้เพื่ออธิบายแบบเข้าใจง่าย ไม่โฆษณา และอิงตามหลักการแพทย์ปัจจุบัน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องครับ
PRP คือการรักษาอะไร?
PRP (Platelet-Rich Plasma) คือการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกให้ได้ชั้นของ “เกล็ดเลือดเข้มข้น” ซึ่งมีปัจจัยการเจริญเติบโต (growth factors) หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ จากนั้นฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่า เพื่อหวังผลลดอักเสบและกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อรอบข้อ
ข้อสังเกตสำคัญ:
PRP ไม่ได้สร้างกระดูกอ่อนข้อใหม่แบบเต็มรูปแบบ (ไม่ใช่สเต็มเซลล์)
เป็นการรักษาแบบ “ลดอักเสบ–ลดปวด” เป็นหลัก
ถือเป็นหัตถการทางการแพทย์ ต้องทำโดยแพทย์ในห้องปลอดเชื้อ
PRP ทำงานอย่างไรในข้อเข่าเสื่อม?
ในข้อเข่าเสื่อม ผิวกระดูกอ่อนบางลง มีสารอักเสบสูงขึ้น และของเหลวในข้อเสื่อมคุณภาพลง PRP ถูกนำมาใช้เพราะมีความสามารถในการ:
ลดสารอักเสบในข้อเข่า
กระตุ้นการสมานเนื้อเยื่อรอบข้อ เช่น เอ็น–เยื่อบุข้อ
ช่วยให้ของเหลวในข้อทำงานดีขึ้น
ลดอาการปวดเรื้อรังจากข้อเสื่อมระยะแรก–กลาง
ผลที่คนไข้รู้สึกคือ ปวดลดลง เดินง่ายขึ้น เข่าตึงน้อยลง
ผลการรักษาจริงจากงานวิจัย
จากงานวิจัยระหว่างประเทศจำนวนมาก พบว่า:
✔ ได้ผลดีใน
ข้อเข่าเสื่อมระยะแรก–ปานกลาง (Kellgren-Lawrence grade 1–2)
ผู้ที่ยังมี “ช่องข้อ” เหลืออยู่ ไม่แคบจนติดกัน
ผู้ที่ไม่มีการอักเสบมากหรือเข่าบวมเรื้อรัง
ผู้ที่อายุน้อยกว่า 65 ปี และยังใช้งานข้อเข่าไม่หนักเกินไป
✔ ผลลัพธ์ที่พบโดยทั่วไป
ปวดลดลง 30–70%
เดิน–ยืนได้นานขึ้น
ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6–12 เดือน
บางรายฉีดปีละ 1–2 ครั้งร่วมกับการกายภาพได้ผลดี
❌ ไม่ใช่การรักษาที่ “ทำครั้งเดียวหายขาด”
ข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคเรื้อรัง ไม่มีวิธีใดทำให้กระดูกอ่อนกลับมาเหมือนเดิม 100% การฉีด PRP จึงช่วย “ควบคุมอาการ” มากกว่า “รักษาให้หายขาด”
เคสที่เหมาะกับการทำ PRP
เลือกอย่างเหมาะสม สำเร็จสูงขึ้นมาก
เหมาะกับ:
อายุ 30–65 ปี มีข้อเข่าเสื่อมระดับ 1–2
ปวดเข่าเรื้อรังจากการใช้งาน แต่ยังไม่ถึงขั้นผ่าตัด
ผู้ที่ไม่ต้องการฉีดสเตียรอยด์ หรือฉีดแล้วไม่ค่อยได้ผล
ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักได้ดีและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เข่าไม่บวมแดงร้อนรุนแรง
เคสที่ “ไม่เหมาะ” หรือควรระวัง
❌ ไม่ควรทำ PRP ถ้า:
ข้อเข่าเสื่อมรุนแรง (ช่องข้อแคบมากหรือกระดูกชนกันแล้ว: Grade 3–4)
มีข้อผิดรูป เช่น เข่าโก่งมาก–เข่าชนมาก (varus/valgus deformity)
มีการติดเชื้อในข้อเข่า
เข่าบวมมากเพราะข้ออักเสบชนิดเฉียบพลัน
เป็นรูมาตอยด์หรือข้ออักเสบออโตอิมมูนระยะกำเริบ (ต้องควบคุมโรคก่อน)
ผู้สูงอายุที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน (อาจไม่เห็นผลเท่าที่คาด)
ผู้ที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือดบางชนิด (ต้องประเมินโดยแพทย์)
ในเคสเหล่านี้ PRP มักไม่ได้ผล หรือผลน้อยมาก และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
ขั้นตอนการทำ PRP โดยสรุป
ดูดเลือด 10–30 ml โดยใช้หลอดปลอดเชื้อเฉพาะของ PRP
ปั่นเลือดด้วยเครื่องเฉพาะจนได้ชั้นเกล็ดเลือดเข้มข้น
ฉีดเข้าไปบริเวณข้อเข่า โดยใช้ Ultrasound นำทางเพื่อความแม่นยำ
พัก 10–15 นาที และกลับบ้านได้
ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เจ็บเล็กน้อยเหมือนฉีดยาเข้าข้อทั่วไป
ข้อดีของ PRP
ใช้เลือดตัวเอง ปลอดภัย ไม่แพ้
ลดปวดได้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ไม่โอเคกับสเตียรอยด์
ไม่ทำลายกระดูกอ่อน
ฟื้นตัวเร็ว ไม่มีแผลผ่าตัด
ข้อควรระวังและข้อจำกัด
อาจปวดตึง 1–3 วันแรกหลังฉีด
ต้องหลีกเลี่ยง NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac 7–10 วันหลังทำ
ผลลัพธ์ขึ้นกับคุณภาพ PRP และเทคนิคการฉีด
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
สรุป: PRP รักษาข้อเข่าเสื่อมได้จริงหรือไม่?
ได้ผลจริงในบางกลุ่มผู้ป่วย โดยเฉพาะข้อเข่าเสื่อมระยะแรกถึงปานกลาง ช่วยลดปวด ลดการอักเสบ และเพิ่มการใช้งานข้อได้ดีในหลายราย แต่ ไม่ใช่ยาวิเศษที่รักษาให้หายขาด และ ไม่เหมาะกับทุกคน
ถ้าข้อเข่าเสื่อมรุนแรงจนกระดูกชนกันแล้ว การฉีด PRP มักไม่ได้ผล และควรพิจารณาแนวทางอื่น เช่น ฉีดสารหล่อลื่น, กายภาพเฉพาะทาง หรือการผ่าตัดแก้ไขถ้าจำเป็น
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)
ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ
📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666
#PRP #ข้อเข่าเสื่อม #เข่าเสื่อม #ฉีดเข่า #หมอเก่ง #กายภาพเข่า #สุขภาพเข่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น