วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

อาหารเสริมไม่ได้ช่วยรักษาข้อเข่าเสื่อมจริง — สิ่งที่ช่วยมากที่สุดคือ “ลดน้ำหนักและปรับพฤติกรรม”

อาหารเสริมไม่ได้ช่วยรักษาข้อเข่าเสื่อมจริง — สิ่งที่ช่วยมากที่สุดคือ “ลดน้ำหนักและปรับพฤติกรรม”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไข้ข้อเข่าเสื่อมจำนวนมากถามหมอคำเดียวเหมือนกันว่า

“หมอคะ มีอาหารเสริมตัวไหนที่กินแล้วเข่าหายไหมคะ?”

“คอลลาเจนแบบนี้ดีไหมคะ กินมาหลายกระปุกแล้วยังเจ็บอยู่เลยค่ะ”

หมออยากตอบอย่างตรงไปตรงมาที่สุดว่า…

อาหารเสริมไม่สามารถซ่อมผิวข้อเข่าที่สึกได้ และไม่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมหายขาด

สิ่งที่ได้ผลดีที่สุดคือ ลดน้ำหนัก + เสริมกล้ามเนื้อต้นขา–สะโพก + ปรับพฤติกรรมการใช้งานเข่า

บทความนี้หมอเขียนขึ้นเพื่อให้คนไข้เข้าใจ “ข้อเท็จจริงทางการแพทย์” แบบง่าย ๆ โดยไม่ใช้ศัพท์ยาก และช่วยให้คุณประหยัดเงินจากอาหารเสริมราคาแพงที่ไม่ได้ช่วยรักษาโรคครับ

เหตุการณ์จากคนไข้ใกล้ตัว

คุณปรีชา อายุ 62 ปี ปวดเข่าเรื้อรังมานาน 3 ปี กินอาหารเสริมมาหลายยี่ห้อ คอลลาเจนแท่ง ผงกลูโคซามีน และแคลเซียมราคาแพง แต่เข่าก็ยังเจ็บ ใช้งานไม่ได้เหมือนเดิม

เขาบอกหมอว่า

“หมอครับ ผมหมดไปหลายหมื่นกับอาหารเสริม แต่ทำไมยังเดินลำบากเหมือนเดิมครับ?”

หลังตรวจพบว่าเข่าเสื่อมระดับปานกลาง หมออธิบายว่า อาหารเสริมไม่สามารถแก้ผิวข้อที่สึกแล้วได้ แต่เมื่อเริ่ม

  • ลดน้ำหนัก 4 กิโล
  • เสริมกล้ามเนื้อต้นขา–สะโพก
  • ปรับรองเท้า
  • ลดการขึ้นลงบันได อาการเขาดีขึ้นมากจนเดินตลาดได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องกินอาหารเสริมอีกเลย

ทำไมอาหารเสริม “ถึงไม่ช่วยรักษาข้อเข่าเสื่อม”?

เพราะ “ข้อเข่าเสื่อม” เกิดจากการสึกของกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ ร่างกายไม่สามารถงอกใหม่แบบเดิมได้

อาหารเสริมไม่มีทางไปสร้างกระดูกอ่อนขึ้นมาใหม่

แม้ว่าจะโฆษณาว่า “บำรุงข้อ” “สร้างกระดูกอ่อน” ก็ตาม

อาหารเสริมที่คนเข้าใจผิดบ่อย ได้แก่

  • คอลลาเจน (collagen)
  • กลูโคซามีน / คอนดรอยติน
  • ผงกระดูกปลา
  • น้ำกระดูก
  • อาหารเสริมสมุนไพร
  • แคลเซียม (ไม่ได้ช่วยข้อเสื่อม ช่วยเฉพาะ “กระดูกพรุน”)

อาจช่วยเรื่องผิวหรือสุขภาพทั่วไป แต่ไม่ได้รักษาผิวข้อเข่าเสื่อม

นี่คือเหตุผลที่หลายคนกินมานานหลายปี แต่เข่าก็ยังเจ็บเท่าเดิมครับ

แล้วอะไรที่ “ช่วยจริง” สำหรับข้อเข่าเสื่อม?

หมอขอเรียงลำดับจากสำคัญที่สุด → น้อยที่สุด

✔ 1)ลดน้ำหนัก (สำคัญที่สุด!)

น้ำหนักลด 1 กิโล

→ แรงกดที่เข่าลดลง 3–4 กิโล ทุกก้าว

จึงช่วยลดปวดเข่าได้มากที่สุดอย่างชัดเจน

ผู้ป่วยจำนวนมากหายปวดได้ถึง 50–70% แค่ลดน้ำหนักจริงจัง

✔ 2) เสริมกล้ามเนื้อต้นขา–สะโพก

กล้ามเนื้อแข็งแรง = ข้อเข่ารับแรงน้อยลง

เป็นการรักษาที่ได้ผลถาวรที่สุด

ท่าที่ช่วยได้ดี เช่น

  • ท่ายกขาตรง
  • ท่าสะพานพื้น
  • นั่งเก้าอี้ลุกขึ้น 10–15 ครั้ง วันละ 10–15 นาที อาการดีขึ้นภายใน 4–8 สัปดาห์

✔ 3) ปรับพฤติกรรมที่ทำร้ายเข่า

  • งดนั่งพับเพียบ / นั่งยอง
  • ลดขึ้นลงบันได
  • เปลี่ยนรองเท้าให้พื้นนุ่ม
  • ลุกเดินทุก 45–60 นาที

ปรับเพียงเท่านี้ อาการดีขึ้นอย่างชัดเจน

✔ 4) กายภาพบำบัดเฉพาะทาง

ช่วยลดอักเสบ ลดตึง และปรับกล้ามเนื้อให้สมดุล

เหมาะมากกับผู้ที่เริ่มเสื่อมหรือเจ็บเรื้อรัง

✔ 5) ฉีดลดอักเสบหรือฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม (HA)

ใช้ในรายที่ปวดมาก หรือทำกายภาพไม่ได้

ไม่ใช่ “การรักษาหลัก” แต่ช่วยเสริมให้เดินได้ง่ายขึ้น

ทำไมต้อง “ไม่พึ่งอาหารเสริม” แต่ควรเน้นการเปลี่ยนพฤติกรรม?

เพราะข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่เกี่ยวกับ

  • การรับน้ำหนัก
  • กล้ามเนื้อ
  • การใช้งานซ้ำ
  • การอักเสบของข้อ

อาหารเสริมไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุใดเลย

แต่การปรับพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ “แก้ต้นเหตุ” ได้จริง

นี่คือเหตุผลที่งานวิจัยทั่วโลกสนับสนุนว่า

ลดน้ำหนัก + ออกกำลังกาย + ปรับพฤติกรรม

คือการรักษาที่มีหลักฐานทางการแพทย์ดีที่สุด

หมออยากบอกว่า…

อาหารเสริมอาจให้ความหวัง แต่ไม่สามารถซ่อมผิวข้อที่สึกได้

หมออยากให้ทุกคนรู้ความจริง ไม่เสียเงินโดยไม่จำเป็น

สิ่งที่ช่วยจริงและเห็นผลชัดเจนคือ

  • ลดน้ำหนัก
  • เสริมกล้ามเนื้อ
  • ปรับพฤติกรรมการใช้งานเข่า
  • กายภาพบำบัด
  • การรักษาเฉพาะทางตามความจำเป็น

ทำถูกวิธี → อาการดีขึ้นแน่นอนครับ 😊

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#ข้อเข่าเสื่อม #อาหารเสริมข้อเข่า #ไม่ต้องกินอาหารเสริม #ลดน้ำหนักช่วยเข่า #หมอเก่งให้ความรู้ #กระดูกและข้อ

ปวดเข่าแบบไหนคือ “ข้อเข่าเสื่อม”? และรักษาอย่างไรให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด


ปวดเข่าแบบไหนคือ “ข้อเข่าเสื่อม”? และรักษาอย่างไรให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

อาการปวดเข่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดในคนไทย ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานหรือผู้สูงอายุ หลายคนสงสัยว่าอาการปวดเข่าที่เป็นอยู่ เกิดจาก “ข้อเข่าเสื่อม” หรือไม่ และถ้าใช่…จะรักษาอย่างไรโดยไม่ต้องผ่าตัด?

หมอเขียนบทความนี้เพื่อให้ทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าอาการปวดเข่าแบบไหนเข้าข่ายข้อเข่าเสื่อม วิธีตรวจ วิธีดูแลตนเอง และแนวทางการรักษาแบบไม่ผ่าตัดที่ได้ผลจริงครับ

เหตุการณ์จากคนไข้ใกล้ตัว

คุณสุพรรณ อายุ 57 ปี เป็นแม่ค้าอาหารตามสั่งที่ต้องยืนวันละหลายชั่วโมง เธอเริ่มปวดเข่าเรื้อรังมาเป็นปี ตอนแรกคิดว่าใช้เข่าเยอะ แต่ช่วงหลังปวดมากเวลาเดินลงบันได และมีเสียงกรอบแกรบในเข่า

เธอบอกว่า:

“หมอคะ หนูสงสัยว่าตัวเองเป็นข้อเข่าเสื่อม เพราะบางวันเจ็บจนเดินไกลไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากผ่าตัดค่ะ”

หลังจากหมอตรวจร่างกายและทำเอกซเรย์ พบว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้น สามารถรักษาโดยไม่ผ่าตัดได้ เธอดีขึ้นมากภายใน 8 สัปดาห์ โดยไม่ต้องใช้ยาแรงหรือฉีดยา

อาการแบบไหนต้องนึกถึง “ข้อเข่าเสื่อม”?

อาการข้อเข่าเสื่อมไม่ได้เกิดเฉียบพลัน แต่จะค่อย ๆ เป็นมากขึ้น หมอสรุปลักษณะสำคัญที่พบบ่อยดังนี้:

✔ 1) ปวดเข่าเวลาเดิน ยืน หรือขึ้น-ลงบันได

โดยเฉพาะช่วงเย็นหลังใช้งานเข่าทั้งวัน

✔ 2) ฝืดเข่าตอนเช้า แต่ดีขึ้นเมื่อขยับ

ฝืดนานประมาณ 5–15 นาที

✔ 3) ปวดบริเวณด้านหน้าเข่า หรือด้านในเข่า

เป็นตำแหน่งที่ข้อเข่าเสื่อมพบบ่อยที่สุด

✔ 4) มีเสียง “ลั่นกรอบแกรบ” ในเข่า

เกิดจากผิวข้อที่ไม่เรียบ

✔ 5) เจ็บเวลาเหยียดหรืองอเข่าสุด

✔ 6) เข่าโก่ง หรือเดินแล้วรู้สึกทรุด

เกิดจากการสึกของผิวข้อบางส่วน

ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมกันหลายข้อ มีโอกาสสูงว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมครับ

ใครเสี่ยงเป็นข้อเข่าเสื่อมมากกว่าคนอื่น?

  • อายุ 45 ปีขึ้นไป
  • น้ำหนักเกินหรืออ้วน
  • ทำงานที่ต้องยืน เดิน หรือยกของหนัก
  • นักกีฬา หรือคนที่ออกกำลังกายผิดท่า
  • เคยบาดเจ็บเข่ามาก่อน เช่น หมอนรองเข่าฉีก
  • กระดูกอ่อนเสื่อมตามพันธุกรรม

การวินิจฉัยว่ามี “ข้อเข่าเสื่อม” ทำอย่างไร?

✔ 1) ตรวจร่างกาย

แพทย์จะตรวจตำแหน่งที่เจ็บ เสียงลั่น ความมั่นคงของข้อ และการเคลื่อนไหว

✔ 2) เอกซเรย์ข้อเข่า

ใช้ดูความแคบของช่องข้อ กระดูกงอก และรูปแบบการเสื่อม เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด

✔ 3) อัลตราซาวด์ข้อเข่า

ช่วยดูเส้นเอ็น กระดูกอ่อน และน้ำในข้อ

✔ 4) MRI (กรณีจำเป็น)

ให้รายละเอียดผิวข้อและหมอนรองเข่า เหมาะกับเคสที่ปวดไม่ชัดเจน

การวินิจฉัยเร็วช่วยให้รักษาได้ตรงจุดและป้องกันการเสื่อมลุกลามครับ

รักษาข้อเข่าเสื่อมอย่างไร “โดยไม่ต้องผ่าตัด”?

หมอสรุปวิธีที่ได้ผลจริง ใช้ในคลินิกเป็นประจำ ดังนี้:

🔹 1) ปรับพฤติกรรม

  • หลีกเลี่ยงนั่งยอง นั่งพับเพียบ
  • ลดการขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ
  • พักเข่าหลังใช้งานหนัก

🔹 2) เสริมกล้ามเนื้อต้นขา–สะโพก (สำคัญที่สุด)

กล้ามเนื้อแข็งแรง = ลดแรงกดที่ข้อเข่า

ท่าที่ช่วยได้ดี เช่น:

  • ท่ายกขาตรง
  • ท่าสะพานพื้น
  • เดินเร็ว

🔹 3) ลดน้ำหนัก

น้ำหนักที่ลดลง 1 กก. → แรงกดที่เข่าลดลง 3–4 กก.

เหมาะกับผู้ที่เข่าเจ็บจากการรับน้ำหนักมาก

🔹 4) กายภาพบำบัด

  • อัลตราซาวด์ลดอักเสบ
  • เลเซอร์
  • ประคบเย็น
  • ฝึกการลงน้ำหนักที่ถูกต้อง

🔹 5) ใส่อุปกรณ์พยุงเข่า

ช่วยเพิ่มความมั่นคง ลดแรงเสียดสี

🔹 6) ฉีดลดอักเสบเฉพาะจุดหรือฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม (HA)

เหมาะกับผู้ที่ปวดเรื้อรัง และต้องการเลี่ยงการผ่าตัด

🔹 7) ยารักษาตามอาการ

  • ยาแก้ปวด
  • ยาลดอักเสบ
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ

ใช้เฉพาะช่วงที่ปวดมากเท่านั้น

🔹 8) ผ่าตัด (เฉพาะรายที่จำเป็นจริง ๆ)

ใช้เมื่อ

  • ปวดรุนแรงมาก
  • ข้อเข่าโก่งหรือทรุด
  • รักษาแบบอื่นไม่ดีขึ้น

การผ่าตัดข้อเข่าเทียมยุคใหม่ผลดีมาก เดินได้ไว แต่ทำเฉพาะรายที่เหมาะสม

หมออยากบอกว่า…

“ข้อเข่าเสื่อม” ไม่ได้แปลว่าต้องผ่าตัดเสมอไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่ดีขึ้นได้ด้วยการออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อและปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตรวจให้รู้ว่าใช่ข้อเข่าเสื่อมหรือไม่ เพราะการรักษาแต่ละโรคแตกต่างกันมาก หากรักษาถูกจุดจะหายไวและไม่เรื้อรังครับ 😊

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#ปวดเข่า #ข้อเข่าเสื่อม #รักษาเข่าไม่ต้องผ่าตัด #หมอเก่งให้ความรู้ #กระดูกและข้อ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม (Viscosupplement) สำหรับข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? มีประสิทธิภาพแค่ไหน เหมาะกับใคร และต่างจากการฉีดสเตียรอยด์อย่างไร


น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม (Viscosupplement) สำหรับข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? มีประสิทธิภาพแค่ไหน เหมาะกับใคร และต่างจากการฉีดสเตียรอยด์อย่างไร

หลายคนที่ปวดเข่าเรื้อรังจาก “ข้อเข่าเสื่อม” มักได้ยินคำว่า น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม หรือ การฉีดสารไฮยาลูโรแนน (Hyaluronic Acid – HA) ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่หมอหลายท่านใช้เพื่อช่วยให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวลื่นขึ้น ลดการเสียดสี และลดอาการปวดในผู้ป่วยที่ยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัด

คำถามยอดฮิตที่หมอเจอบ่อยมากคือ:

  • “น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมคืออะไรคะหมอ?”
  • “ฉีดแล้วได้ผลจริงไหม?”
  • “ต่างจากการฉีดสเตียรอยด์ยังไง?”
  • “เหมาะกับหนูไหมคะ หรือเหมาะกับคนอายุเยอะเท่านั้น?”

วันนี้หมอจะอธิบายแบบภาษาคนทั่วไป ไม่ใช้ศัพท์ยาก เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างเข้าใจและปลอดภัยครับ

เหตุการณ์จากคนไข้ใกล้ตัว

คุณธารทิพย์ อายุ 58 ปี ปวดเข่ามาหลายปี เดินขึ้นลงบันไดลำบากมาก แต่ยังไม่อยากผ่าตัดเพราะต้องดูแลหลาน เธอบอกว่า:

“หมอคะ ยาแก้ปวดนี่หนูกินไม่ค่อยไหว กลัวกระเพาะเป็นแผล เพื่อนแนะนำว่าฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมดีมาก หนูควรฉีดไหมคะ?”

หลังตรวจพบว่าเข่าเสื่อมระดับปานกลาง ยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัด หมอแนะนำให้ฉีด viscosupplement เพื่อช่วยหล่อลื่นข้อและลดปวดร่วมกับกายภาพ

เพียง 4–6 สัปดาห์ อาการปวดลดลง เดินไกลขึ้น และใช้ชีวิตประจำวันดีขึ้นมาก เธอพูดว่า:

“หมอคะ เดินตลาดได้ไม่เจ็บแล้วค่ะ รู้สึกเหมือนเข่าลื่นขึ้นจริง ๆ”

หมอจึงอยากอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมเหมาะกับใคร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องฉีดครับ

น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม (Viscosupplement) คืออะไร?

เป็นสาร “ไฮยาลูโรแนน (Hyaluronic Acid – HA)” ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับ น้ำหล่อเลี้ยงข้อเข่าตามธรรมชาติ ซึ่งทำหน้าที่:

  • หล่อลื่นข้อให้เคลื่อนไหวลื่นขึ้น
  • ลดแรงกระแทกและการเสียดสีระหว่างผิวข้อ
  • ลดการอักเสบในข้อ
  • ช่วยให้เดิน-ยืนดีขึ้น

เมื่อข้อเข่าเสื่อม น้ำหล่อเลี้ยงข้อจะ “ข้นน้อยลง” และ “ลดลง” ทำให้เกิดการเสียดสีและปวด เขาจึงเติมสาร HA เข้าไปเพื่อให้ข้อกลับมาลื่นขึ้น

Viscosupplement มีประสิทธิภาพอย่างไร?

หมอสรุปผลที่พบได้ชัดเจนจากการรักษาผู้ป่วยจริงดังนี้ครับ:

✔ 1) ช่วยลดปวดเข่า

โดยเฉพาะในเข่าเสื่อมระยะ เริ่มต้น–ปานกลาง

✔ 2) ช่วยให้อาการลื่นขึ้น เดินดีขึ้น

เพราะลดแรงเสียดสีของผิวข้อ

✔ 3) ลดการใช้ยาแก้ปวด

เหมาะกับคนที่มีปัญหากระเพาะ โรคไต หรือกินยาแก้ปวดได้น้อย

✔ 4) ผลอยู่ได้นาน 4–6 เดือน (บางรายนาน 9–12 เดือน)

ขึ้นกับความเสื่อมของข้อและพฤติกรรมการใช้งาน

✔ 5) ช่วยชะลอการเสื่อม (ในบางเคส)

เพราะลดการอักเสบเล็กน้อยในข้อ ทำให้ใช้ข้อได้อย่างสมดุลขึ้น

ถึงแม้ไม่ใช่ “ยาสร้างกระดูกอ่อน” แต่ช่วยให้ข้อเข่าทำงานได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญครับ

เหมาะกับใครที่สุด?

Viscosupplement เหมาะกับผู้ที่:

✔ 1) ข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้น–ปานกลาง (X-ray ยืนยัน)

เป็นช่วงที่ได้ผลตอบสนองดีที่สุด

✔ 2) ผู้ที่เจ็บเข่าเวลาเดิน แต่ยังไม่อยากผ่าตัด

ช่วยประคองอาการและคุณภาพชีวิต

✔ 3) ผู้ที่กินยาแก้ปวดไม่ได้

เช่น

  • ผู้ป่วยโรคไต
  • ผู้ป่วยโรคกระเพาะและลำไส้
  • ผู้สูงอายุที่ต้องหลีกเลี่ยงยา NSAIDs

✔ 4) ผู้ที่ต้องใช้งานข้อเข่าเป็นประจำ

ครู แม่บ้าน พนักงานโรงงาน บุคลากรการแพทย์ ฯลฯ

✔ 5) ผู้ที่เข่าเสื่อมข้างเดียวหรือสองข้าง และยังไม่ต้องผ่าตัดทันที

ถือเป็นสะพานเชื่อมก่อนถึงขั้นผ่าตัด

ใครที่ “ไม่เหมาะ” กับ viscosupplement?

  • ข้อเข่าเสื่อมรุนแรงมาก (ช่องข้อแคบมากจนเกือบติดกัน)
  • มีการอักเสบมาก บวม แดง ร้อน → ควรรักษาการอักเสบก่อน
  • ผู้ที่ต้องการผลเร็วมาก (เพราะ HA ออกฤทธิ์ช้ากว่าสเตียรอยด์)
  • ผู้แพ้ส่วนประกอบของยา (พบได้น้อยมาก)

ข้อดีของการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม

  • ไม่ใช่สเตียรอยด์ → ปลอดภัย ไม่ทำให้กระดูกบาง
  • ฉีดได้ซ้ำเรื่อย ๆ ทุก 6–12 เดือน
  • ลดปวดได้ดีในผู้ป่วยจำนวนมาก
  • ฟื้นตัวไว ทำงานได้ทันทีหลังฉีด
  • ลดการใช้ยาแก้ปวด
  • ช่วยให้ข้อเข่าลื่นขึ้นจริง

ข้อเสีย / ข้อจำกัด

  • ราคาแพงกว่าการฉีดสเตียรอยด์
  • ออกฤทธิ์ช้ากว่า ต้องใช้เวลา 1–4 สัปดาห์กว่าจะเห็นผล
  • ไม่เหมาะกับข้อเข่าเสื่อมรุนแรง
  • ไม่ได้ซ่อมกระดูกอ่อนหรือทำให้หายขาด
  • บางรายมีปวดเพิ่มเล็กน้อยใน 1–2 วันแรกหลังฉีด (พบไม่บ่อย)

เปรียบเทียบ Viscosupplement vs การฉีดสเตียรอยด์

หมอทำเป็นแบบอธิบายง่าย ๆ ดังนี้ครับ

🔹การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid injection)

  • ลดปวดเร็วมาก ภายใน 24–48 ชั่วโมง
  • เหมาะกับข้ออักเสบ บวมมาก
  • ราคาไม่แพง
  • แต่ใช้บ่อยไม่ดี ทำให้กระดูกอ่อนบางลงและข้อเสื่อมเร็วขึ้น
  • ผลอยู่ไม่นาน 4–6 สัปดาห์

🔹Viscosupplement (HA)

  • ออกฤทธิ์ช้ากว่า (1–4 สัปดาห์)
  • ไม่ใช่สเตียรอยด์ → ปลอดภัย ไม่ทำให้ข้อเสื่อมเพิ่ม
  • ผลอยู่ได้นาน 4–6 เดือน (บางรายถึง 9–12 เดือน)
  • ช่วยให้เข่าลื่นขึ้นจริง
  • เหมาะกับข้อเข่าเสื่อมระดับต้น–กลาง

สรุปง่าย ๆ:

  • ถ้า “ปวดมาก อักเสบมาก ต้องการผลเร็ว” → สเตียรอยด์ช่วยได้ดีในระยะสั้น
  • ถ้า “ต้องการผลคงทน ลดปวดระยะยาว ไม่อยากใช้สเตียรอยด์” → Viscosupplement เหมาะกว่า

หมออยากบอกว่า…

น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม (Viscosupplement) ไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่ได้สร้างกระดูกอ่อนใหม่ แต่เป็นวิธีที่ได้ผลดีมากสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะต้น–กลาง ช่วยให้ข้อเข่าลื่น เดินได้ดีขึ้น ลดปวด และคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน

ที่สำคัญ → ต้องประเมินจาก ระดับข้อเสื่อม, พฤติกรรมการใช้งาน และ เป้าหมายการรักษา ของผู้ป่วยแต่ละคน

ถ้าคุณมีอาการปวดเข่าเรื้อรัง อย่าปล่อยไว้นานจนข้อพังเร็ว การตรวจให้ชัดและรักษาให้เหมาะสมตั้งแต่แรกเป็นสิ่งสำคัญครับ 😊

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng

📞 โทร 081-5303666

#หมอเก่งให้ความรู้ #กระดูกและข้อ #ข้อเข่าเสื่อม #น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม #viscosupplement #ปวดเข่า #รักษาเข่าไม่ต้องผ่าตัด

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568


เสียงเข่าดัง “กรุบ กรอบ แกรก” เกิดจากอะไร? อันตรายไหม และต้องรักษาอย่างไร

หลายคนมักถามหมอว่า

“หมอคะ ทำไมเข่าหนูดังตลอดเลย เดินก็กรุบ ๆ ลุกนั่งก็แกรก ๆ มันอันตรายไหมคะ?”

เสียงดังในเข่าเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยมาก ทั้งในวัยทำงานและผู้สูงอายุ บางคนเข่าดังแต่ไม่เจ็บ ส่วนบางคนทั้งดังทั้งเจ็บจนน่ากังวล ความจริงคือ “เสียงเข่าดัง” ไม่ได้หมายความว่าเข่าเสื่อมเสมอไป แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนบางอย่างเช่นกัน

หมอเขียนบทความนี้เพื่อให้เข้าใจว่าเสียงเข่าดังเกิดจากอะไร แบบไหนปลอดภัย แบบไหนควรตรวจ และดูแลอย่างไรให้เข่าใช้งานได้นานที่สุดครับ

เหตุการณ์จากคนไข้ใกล้ตัว

คุณปาล์ม อายุ 41 ปี ชอบออกกำลังกายช่วงเย็น วันหนึ่งเธอสังเกตว่าเวลาขึ้นบันไดหรือสควอต เข่าซ้ายจะมีเสียง “กรุบ ๆ” ทุกครั้ง เธอบอกหมอว่า

“หมอคะ เข่าดังทั้งวันเลยค่ะ กลัวว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมแล้ว จะต้องผ่าตัดไหมคะ?”

หลังตรวจร่างกายและอัลตราซาวด์ พบว่าเธอมีภาวะ

  • กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรงเล็กน้อย
  • สะบ้าขยับไม่ลื่น จึงเกิดเสียงเสียดสี

ไม่ใช่ข้อเข่าเสื่อมแต่อย่างใด หลังทำกายภาพเสริมกล้ามเนื้อต้นขา–สะโพก เสียงเข่าลดลงมากและไม่เจ็บอีก

เสียงเข่าดังจึงไม่ใช่เรื่องอันตรายในหลายกรณี แต่ควรแยกโรคให้ถูกต้องครับ

เสียงเข่าดังเกิดจากอะไรได้บ้าง? 

1) เส้นเอ็นสะบ้าเสียดสีกับกระดูก (พบมากที่สุด)

เมื่อกล้ามเนื้อต้นขา-สะโพกอ่อนแรง สะบ้าจะวิ่งไม่ตรงร่อง ทำให้เกิดเสียง “กรุบ” ขณะงอ-เหยียดเข่า

ลักษณะ: ดังแต่ไม่เจ็บ หรือเจ็บเล็กน้อยตอนขึ้นลงบันได

2) แก๊สในน้ำไขข้อแตกตัว (เหมือนเสียงนิ้วลั่น)

บางครั้งเสียงเกิดจากฟองอากาศในน้ำไขข้อแตกตามธรรมชาติ

ลักษณะ: ไม่เจ็บ ปลอดภัย ไม่อันตราย

3) กระดูกอ่อนผิวข้อเริ่มสึก (Patellofemoral cartilage wear)

เมื่อผิวข้อสะบ้าเริ่มไม่เรียบ จะเกิดเสียงเสียดสีตอนงอเข่า เช่น

  • นั่งยอง
  • นั่งนาน
  • ขึ้นลงบันได

ลักษณะ: เสียงดังร่วมกับเจ็บหน้าเข่า

4) เอ็นหรือกล้ามเนื้อดีดผ่านปุ่มกระดูก

บางคนมีกล้ามเนื้อด้านนอกตึง ทำให้เกิดเสียงดีดตอนเหยียดเข่า

ลักษณะ: เสียง “กึก” ชัด แต่ไม่เจ็บมาก

5) ข้อเข่าเสื่อม

มักเกิดในผู้ที่อายุ 45–50 ปีขึ้นไป ผิวข้อบางลงจนผิวกระดูกเสียดสีกัน ทำให้เกิดเสียงดัง

ลักษณะ: เสียงดัง + เจ็บ + ข้อฝืดตอนเช้า

ไม่ใช่ทุกคนที่เข่าดังจะเป็นเข่าเสื่อม แต่ถ้าดัง + เจ็บมาก ควรตรวจ

เสียงเข่าดังแบบไหน “ปลอดภัย”?

  • ดังเฉย ๆ ไม่มีอาการเจ็บ
  • ดังเวลาเปลี่ยนท่า เช่น ลุกนั่ง แต่เดินไม่เจ็บ
  • ดังบางท่าและหายเมื่อปรับท่าหรือยืดเหยียด

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปกติของการเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นและน้ำไขข้อ ไม่อันตรายครับ

เสียงเข่าดังแบบไหนที่ควรพบแพทย์?

  • ดังร่วมกับ “ปวดหน้าเข่า”
  • เจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนขึ้นลงบันได
  • เข่าบวม
  • เข่าฝืดตอนเช้านาน > 30 นาที
  • เคยหกล้ม หรือมีอุบัติเหตุ
  • เสียงดัง “ลั่นโป๊ะ” แล้วเข่าให้ตัว เดินไม่ได้ทันที → อาจเป็นเอ็นหรือหมอนรองเข่าฉีก

ถ้าเข้าเกณฑ์นี้ควรตรวจอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์เพื่อแยกโรค

ตรวจอย่างไรให้รู้สาเหตุ?

✔ ตรวจร่างกาย

ดูทิศทางสะบ้า กล้ามเนื้อรอบเข่า และการเคลื่อนไหว

✔ อัลตราซาวด์ข้อเข่า

เห็นการอักเสบของเอ็น รอบสะบ้า หรือจุดเสียดสีแบบ real-time

✔ เอกซเรย์

ดูว่ามีข้อเสื่อมหรือกระดูกงอกหรือไม่

✔ MRI (เฉพาะเคสจำเป็น)

ใช้เมื่อสงสัยหมอนรองเข่าฉีกหรือผิวข้อสึกมาก

รักษาอย่างไรให้เสียงเข่าลดลงและหายเจ็บ?

1) กายภาพบำบัด (สำคัญที่สุด)

เน้นเสริมความแข็งแรงของ

  • กล้ามเนื้อต้นขา (quadriceps)
  • กล้ามเนื้อสะโพกด้านข้าง
  • กล้ามเนื้อก้น

เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง → สะบ้าวิ่งตรง → เสียงลดลงเห็นผลชัดเจน

2) ยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่ตึง

โดยเฉพาะ

  • ด้านนอกต้นขา (IT band)
  • หลังขา (hamstring)

3) ปรับพฤติกรรม

  • หลีกเลี่ยงนั่งยองนาน
  • ไม่ขึ้น-ลงบันไดบ่อยเกินไป
  • ลดน้ำหนักเพื่อลดแรงกดต่อเข่า

4) ประคบเย็น

ช่วยคลายกล้ามเนื้อและเอ็น ลดการอักเสบ

5) ฉีดยาลดอักเสบเฉพาะจุดด้วยอัลตราซาวด์ (เมื่อจำเป็น)

เหมาะกับผู้ป่วยที่เจ็บมากหรือมีผิวข้อสึก

6) แผ่นรองรองเท้า

ช่วยปรับแนวขาและลดแรงกดต่อเข่า

หมออยากบอกว่า…

เสียงเข่าดังไม่ใช่เรื่องอันตรายเสมอไป และส่วนใหญ่รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด สิ่งสำคัญคือดูว่า “มีเจ็บร่วมด้วยหรือไม่” และดูว่ามีปัจจัยเสี่ยงข้อสึก เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง น้ำหนักเกิน หรือใช้งานหนัก

ถ้าเข่าดังจนรบกวนชีวิต หรือมีอาการปวดร่วมด้วย ควรตรวจให้เร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามเป็นเข่าเสื่อมครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#เข่าดัง #ปวดเข่า #สะบ้าวิ่งไม่ตรง #ข้อเข่าเสื่อม #หมอเก่งให้ความรู้ #กระดูกและข้อ

ปวดเข่าเรื้อรังในผู้ป่วยรูมาตอยด์ ต้องประเมินให้ดีว่ากลายเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” แล้วหรือยัง — และเมื่อใดควรพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม



ปวดเข่าเรื้อรังในผู้ป่วยรูมาตอยด์ ต้องประเมินให้ดีว่ากลายเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” แล้วหรือยัง — และเมื่อใดควรพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม



ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์จำนวนมากรักษาอาการข้ออักเสบได้ดีในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไปหลายปี หลายคนเริ่มมีอาการ ปวดเข่าเรื้อรัง เดินลำบาก เข่าฝืด หรือรู้สึกเหมือนเข่าทรุด จนสงสัยว่าคืออาการอักเสบของรูมาตอยด์ หรือเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” ร่วมด้วย


ความจริงคือ ผู้ป่วยรูมาตอยด์มีโอกาสเกิดข้อเสื่อมเร็วกว่าคนทั่วไป เพราะข้ออักเสบเรื้อรังทำให้กระดูกอ่อนและโครงสร้างข้อเสียหาย แม้โรคจะสงบแล้วก็ตาม


หมอเขียนบทความนี้เพื่อให้ผู้ป่วยรูมาตอยด์และครอบครัวเข้าใจว่า:


  • ปวดเข่าเรื้อรังเกิดจากอะไร
  • แยกอย่างไรว่าเป็นการอักเสบหรือข้อเสื่อม
  • วิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัดมีอะไรบ้าง
  • และเมื่อใดควรพิจารณา “ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม” อย่างเหมาะสม




เหตุการณ์จากคนไข้ใกล้ตัว (เปลี่ยนชื่อ)



คุณศรีอายุ 58 ปี เป็นรูมาตอยด์มากว่า 12 ปี ควบคุมอาการด้วยยามาเรื่อย ๆ ในช่วงหลังอาการข้ออักเสบอื่นสงบดี แต่กลับเริ่มมีอาการปวดเข่ามากขึ้นโดยเฉพาะเวลาเดินขึ้น–ลงบันได หรือลุกจากเก้าอี้


เธอบอกว่า:


“หมอคะ หนูไม่แน่ใจแล้วว่าปวดเพราะรูมาตอยด์กำเริบ หรือเข่าเสื่อมค่ะ มันทรุด ๆ ฝืด ๆ เดินนานไม่ได้เลย”


หลังตรวจร่างกายและเอกซเรย์พบว่า ข้อเข่ามีการเสื่อมร่วมด้วย จากการอักเสบสะสมหลายปี ทำให้ผิวข้อบางลง เอ็นรอบ ๆ อ่อนแรง และกระดูกเริ่มเบียดใกล้ชิดกัน


หมอจึงวางแผนรักษาผ่านกายภาพ การฉีดยาลดอักเสบเฉพาะจุด และเสริมสร้างกล้ามเนื้อก่อน หากไม่ดีขึ้นจึงพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม


เคสดังกล่าวสะท้อนว่า การปวดเข่าในผู้ป่วยรูมาตอยด์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องประเมินให้ถูกต้องตั้งแต่แรกครับ



ทำไมผู้ป่วยรูมาตอยด์ถึงเข่าเสื่อมได้ง่าย?



เพราะข้ออักเสบเรื้อรังทำให้เกิดความเสียหายสะสม ได้แก่:


  • กระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลาย
  • เยื่อบุข้ออักเสบเรื้อรังจนทำให้ข้อบวมซ้ำ ๆ
  • เอ็นรอบข้อเข่าอ่อนแรง
  • โครงสร้างข้อเปลี่ยน ทำให้ลงน้ำหนักผิดตำแหน่ง



เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเข่าจะเสื่อมเร็วกว่าคนทั่วไป บางรายแม้คุมโรครูมาตอยด์ได้ดี แต่ความสึกหรอในข้อยังคงดำเนินต่อเนื่อง



สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่า “ข้อเข่าเสื่อมร่วมด้วย”



หากเป็นผู้ป่วยรูมาตอยด์และมีอาการเหล่านี้ ต้องระวังว่าเป็นข้อเสื่อม ไม่ใช่ข้ออักเสบอย่างเดียว:


  • ปวดลึก ๆ ในเข่าเวลาเดิน ยืน หรือลงบันได
  • เข่าฝืดตอนเช้า แต่ดีขึ้นเมื่อขยับ (ต่างจากรูมาตอยด์ที่ฝืดนาน)
  • มีเสียงลั่นกรอบแกรบในข้อ
  • เข่าโก่งหรือทรุดลง
  • เดินนาน ๆ แล้วปวดมากขึ้นตามแรงกด
  • ปวดแม้โรครูมาตอยด์สงบแล้ว



อาการลักษณะนี้มักบอกว่ากระดูกอ่อนผิวข้อเข่าถูกทำลายไปบางส่วนแล้ว



การตรวจเพื่อยืนยันว่าเข่าเสื่อมหรือไม่




1) ตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทาง



ดูการเคลื่อนไหว เสียงลั่น จุดกดเจ็บ ความมั่นคง และลักษณะการเดิน



2) เอกซเรย์เข่า



เป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุด เห็นความแคบของช่องข้อ กระดูกงอก หรือข้อโก่งได้ชัด



3) อัลตราซาวด์ข้อเข่า



ดูน้ำในข้อและเยื่อบุข้ออักเสบ ว่าเป็นการอักเสบจากรูมาตอยด์หรือเป็นการสึกหรอของผิวข้อ



4) ประเมินโรครูมาตอยด์ร่วมด้วย



เพราะหากโรครูมาตอยด์ยังไม่สงบ ต้องควบคุมควบคู่กันไป



รักษาอย่างไรโดยไม่ต้องผ่าตัด?



ผู้ป่วยรูมาตอยด์ที่มีข้อเข่าเสื่อมส่วนใหญ่สามารถรักษาแบบประคับประคองได้ดีหากเริ่มเร็ว:



✔ กายภาพบำบัด



  • เสริมกล้ามเนื้อหน้าขา–สะโพก
  • ฝึกการลงน้ำหนักที่ถูกต้อง
  • ลดแรงกระแทกต่อข้อเข่า




✔ ปรับพฤติกรรม



  • เลี่ยงนั่งพับเพียบ นั่งยอง
  • หลีกเลี่ยงขึ้น–ลงบันไดบ่อย
  • ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดแรงกดต่อข้อเข่า




✔ การฉีดยาลดอักเสบเฉพาะจุดด้วยอัลตราซาวด์



เหมาะสำหรับผู้ที่ปวดมากหรือมีการอักเสบผสม



✔ แผ่นรองรองเท้า/รองเท้าพื้นนุ่ม



ช่วยลดแรงกระแทก และช่วยให้เดินสบายขึ้น



✔ ยาควบคุมรูมาตอยด์



ต้องทำควบคู่ หากโรครูมาตอยด์ยังไม่สงบ การรักษาเข่าเสื่อมจะไม่ค่อยได้ผล



เมื่อใดต้องพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม?



หมอจะพิจารณาในกรณีต่อไปนี้:


  • ปวดมากจนกระทบชีวิตประจำวัน แม้รักษาเต็มที่แล้ว 3–6 เดือน
  • เดินลำบาก เดินไกลไม่ได้ เพราะข้อทรุดหรือโก่งมาก
  • เอกซเรย์เห็นว่าข้อเข่าเสื่อมรุนแรง ผิวข้อหายไปเกือบหมด
  • ข้อล็อกหรือยุบโดยมีโครงสร้างเสียหายมาก
  • มีอาการอักเสบแทรกเพิ่มจนใช้ชีวิตไม่ได้



การผ่าตัดข้อเข่าเทียมยุคใหม่ให้ผลดีมาก เดินได้คล่อง และคุณภาพชีวิตดีขึ้นชัดเจน แต่ต้องเลือกให้ถูกคนและถูกเวลา



หมออยากบอกว่า…



ผู้ป่วยรูมาตอยด์ที่ปวดเข่าเรื้อรัง ไม่ควรคิดว่าเป็น “ข้ออักเสบธรรมดา” เสมอไป เพราะในหลายรายอาจมีข้อเข่าเสื่อมร่วมด้วยจากการอักเสบสะสมหลายปี


การตรวจให้ชัดตั้งแต่ต้นจะช่วยให้วางแผนรักษาได้ดีขึ้น ป้องกันข้อพัง และลดความจำเป็นในการผ่าตัด


ถ้าตรวจพบเร็วและรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่กลับมาเดินได้ดีขึ้น ใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติครับ 😊




บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666


#รูมาตอยด์ #ปวดเข่าเรื้อรัง #ข้อเข่าเสื่อม #ข้อพังจากรูมาตอยด์ #ผ่าตัดข้อเข่าเทียม #หมอเก่งให้ความรู้ #กระดูกและข้อ