ปัญหาโรคกระดูกและข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ :
โรคข้อเข่าเสื่อม
ทุกภาคของประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุครบทุกภาคซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีประชากรที่มีอายุมากกว่า
60 ปีขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากร ปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุคือโรคกระดูกและข้อ
ซึ่งมีการเสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดตามจุดต่างๆของร่างกายเช่น
อาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดเข่า ปัญหาโรคข้อเข่าเสื่อมนับว่าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเมื่อมีการเคลื่อน
ไหวของข้อเข่า บางครั้งอาจจะมีอาการปวดและรู้สึกตึงบริเวณข้อพับด้านหลังของเข่า
อาการบวมบริเวณข้อเข่า เนื่องจากมีน้ำในข้อเข่าซึ่งเกิดจากการอักเสบภายในข้อ
ข้อยึดติด และไม่สามารถเหยียดงอเข่าได้เหมือนปกติ มีอาการเสียวภายในข้อเวลาเดิน
บางครั้งมีอาการอ่อนแรง ต้นขาลีบ ขาโก่งผิดรูป โรคข้อเข่าเสื่อมจะมีลักษณะที่มีการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่าทำให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่าไม่เรียบ
มีการเสียดสีของกระดูก เป็นกระบวนการเสื่อมของข้อตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น
พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดเข่าเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีนำ ้หนักตัว ที่เพิ่มมากขึ้น นั่ง
คุกเข่า
นั่งขัดสมาธิและนั่งพับเพียบเนื่องจากว่ากระดูกที่งอกออกรอบๆข้อที่มีการ
เสื่อมมีการกดเบียดเส้นเอ็นและเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆข้อ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม
ได้แก่
1.
พันธุกรรม โดยมีหลักฐานปรากฏบางอย่างที่เชื่อว่ามีความผิดปกติทางพันธุกรรม
ในการทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
2.
น้ำหนัก น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น
ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักมากขึ้นกว่าปกติ
3.
อายุ
เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของผิวข้อกระดูกอ่อนก็ลดน้อยลง
ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายขึ้น
4.
เพศ ผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี
มีโอกาสเกิดข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย
5.
เคยได้รับอุบัติเหตุที่บริเวณข้อเข่ามาก่อน
รวมถึงได้รับอันตรายจากการเล่นกีฬา เช่น หมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด เล่นกีฬาที่มีแรงกระทบต่อเข่ามากๆ
เช่น ฟุตบอล, นักวิ่งมาราธอน, เทนนิส
เมื่อเป็นข้อเข่าเสื่อมแล้วจะมีวิธีการรักษาอย่างไร?
แรกสุดต้องรักษาอาการปวด
อาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับระยะของโรค
ดังนั้นการรักษาต้องปรับตามแต่ละบุคคล
การรักษาส่วนใหญ่คือ
1.
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วย
เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ, นั่งท่าขัดสมาธิ, การลดน้ำหนัก,
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก, หรือการใส่เครื่องช่วยพยุงเข่า
2.
การใช้ยา
ซึ่งมีการใช้ยา 2 กลุ่มคือ
a.
ยาลดปวด
และลดการอักเสบภายในข้อเข่า จะช่วยบรรเทาอาการปวด
b.
ยากลูโคซามีน
ซึ่งมีฤทธิ์ เสริมสร้างกระดูกอ่อน, ช่วยการหล่อลื่นของข้อ
ทำให้ยับยั้งหรือลดกระบวนการทำลายของข้อ
3.
การบริหารเข่า
เพื่อฝึกกล้ามเนื้อหน้าขาให้แข็งแรง สามารถพยุงเข่าให้มั่นคงยิ่งขึ้น
ซึ่งสามารถทำการบริหารโดยการนอนและเหยียดเข่าตรง
และยกเท้าขึ้นจากพื้นนานครั้งละประมาณ 15 วินาที (ดังรูป)
4.
การฉีดยาเข้าข้อเข่า
a.
สารน้ำหล่อเลี้ยงข้อเข่า
b.
ยาสเตียรอยด์ มักฉีดเข้าไปยังบริเวณข้อเข่าที่มีอาการปวดมากๆ
ซึ่งมักเป็นระยะสุดท้ายของโรคข้อเข่าเสื่อม ยานี้มักจะลดอาการปวดได้นานประมาณ 3
เดือน หรือในกรณีที่ข้อมีการอักเสบมากจะทำให้เกิดนำ้ในเข่าที่มีปริมาณมาก แพทย์จะดูดเอานำ้้้้อเข่าที่มีการอักเสบออก
และมีการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบภายในข้อเข่า
5.
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เพื่อ
แก้ไขข่อเสื่อมที่มีการโก่งผิดปกติ
ให้ข้อเข่าตรง และลดอาการปวด
ทำให้ผู้ป่วยสามารถเดินเป็นปกติข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดมักจะทำในกรณีที่อาการ
ปวดไม่สามารถบรรเทาได้จากการใช้ยารับประทาน
หรือการใช้ยาฉีดอย่างน้อยเป็นระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์
หรือจะผ่าตัดในกรณีที่ข้อเข่ามีลักษณะโก่งมากผิดปกติมีผลต่อการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย
ข้อดีของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าคือ ลดอาการปวดเข่า สามารถแก้ไขแนวแกนของข้อเข่าให้กลับมาอยู่ในแนวปกติ
และสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกมากขึ้น
ในปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมด้วยวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมให้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
ผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้ 1
วันหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เนื่องมาจากเทคนิกการผ่าตัดที่ดีขึ้น
และเทคนิกการควบคุมอาการปวดหลังผ่าตัดโดยวิสัญญีแพทย์สามารถทำได้ดี
ทำให้ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดมากหลังผ่าตัด จึงสามารถลุกเดิน เคลื่อนไหว
และทำกายภาพบำบัดได้ตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัด
และทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้รวดเร็วกว่าในอดีต
นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์
www.taninnit.com
http://www.facebook.com/Doctorkeng
การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม
การเกิดโรค ข้อเข่าเสื่อมเป็นกระบวนการเสื่อมของกระดูกอ่อนตรงบริเวณผิวข้อ ส่วนใหญ่มักเกิดที่บริเวณข้อเข่า ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดมากที่ข้อเข่า ส่วนใหญ่มักปวดมากเวลาเดิน เดินขึ้นบันได ถ้าเป็นมากจะมีการโก่งของข้อเข่าร่วมด้วย การป้องกันคือการชะลอไม่ให้ข้อเข่าเสื่อมได้เร็วขึ้นซึ่งก็คือการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ข้อเข่าดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่ต้องงอเข่ามากกว่า 90 องศา เช่น การนั่งคุกเข่า การนั่งขัดสมาธิ การนั่งพับเพียบ เพราะการที่งอเข่ามากๆนั้นจะทำให้เพิ่มแรงที่กระทำต่อกระดูกอ่อนที่ผิวข้อ และในกรณีที่เป็นข้อเข่าเสื่อมแล้ว กระดูกที่งอกอยู่รอบๆข้อจะไปกดเบียดเส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่รอบๆข้อทำให้มีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพราะการยกของหนักจะไปเพิ่มแรงกระทำต่อบริเวณข้อเข่า ในวัยกลางคนที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปที่ยังออกกำลังหนักๆเช่น การเล่นกีฬาที่มีการกระแทกเช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล มีโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บของข้อเข่าค่อนข้างสูง และการวิ่งหรือเล่นกีฬาหนักๆ ก็เพิ่มแรงกระทำที่ข้อเข่าซึ่งจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ไวขึ้น ดังนั้นควรเปลี่ยนประเภทของกีฬาเป็นประเภทที่ไม่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่า เช่น cross trainer ซึ่งเป็นการฝึกการเคลื่อนไหวของข้อเข่าและบริหารกล้ามเนื้อรอบๆเข่า ซึ่งดีกว่าการใช่ลู่วิ่งหรือ Treadmill
- การบริหารกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าโดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) จะช่วยพยุงข้อเข่าให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
- ถ้าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมน้อยๆ ยังไม่มีการผิดรูปมากนัก การใช้ยากลุ่ม glucosamine ก็จะมีประโยชน์และชะลอการเสื่อมของข้อได้ในระยะยาว และยากลุ่มนี้ก็ไม่มีผลเสียและไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
การฝึกบริหารโดยการกระดกข้อเท้า และการยกขาสูงเพื่อลดบวมที่บริเวณข้อเข่า |
ภาพแสดงลักษณะการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อที่หายไปในผู้ป่วยดรคข้อเข่าเสื่อม |
ภาพเอกซเรย์แสดงการสึกกร่อนของข้อเข่าทำให้กระดูกมาชิดกันมากขึ้น |
การออกกำลังกายการบริหารข้อเข่าด้วยการปั่นจักรยาน |
การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมของข้อเข่า |
การหัดเดินโดยใช้เครื่องพยุง walker |
เข่าบวมข้างขวามากกว่าข้างซ้าย |
เข่าโก่ง |
นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์
www.taninnit.com
http://www.facebook.com/Doctorkeng
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น