วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

“เจ็บเข่าตอนโต? ระวังโรค Osgood-Schlatter ในวัยรุ่น”

“เจ็บเข่าตอนโต? ระวังโรค Osgood-Schlatter ในวัยรุ่น”

หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้ แต่ถ้าบ้านไหนมีลูกหลานที่ชอบเล่นกีฬา แล้วเริ่มบ่นว่า “เจ็บเข่าเวลาวิ่งหรือกระโดด” บ่อย ๆ ลองอ่านโพสต์นี้ดูนะครับ

Osgood-Schlatter คืออะไร?

เป็นภาวะที่พบบ่อยใน เด็กวัยกำลังโต โดยเฉพาะช่วงอายุ 10–15 ปี

• ในเด็กผู้ชายจะพบบ่อยกว่าผู้หญิง (เพราะมักเล่นกีฬาหนักกว่า)

• แต่ปัจจุบันพบในเด็กผู้หญิงมากขึ้น เพราะเล่นกีฬาเยอะขึ้นเช่นกัน

สาเหตุเกิดจากอะไร?

ในช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต

• กระดูก โตเร็วกว่า กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น → เส้นเอ็นที่เกาะกระดูกจึงตึงมาก

• ถ้าเด็กเล่นกีฬาที่ต้องกระโดดหรือวิ่งบ่อย ๆ (เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่ง) → เอ็นที่เกาะกระดูกหน้าแข้ง (บริเวณใต้หัวเข่า) ถูกดึงซ้ำ ๆ

เมื่อเกิดซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดการอักเสบและกระดูกงอกเล็ก ๆ บริเวณนั้น → นี่แหละที่เรียกว่า Osgood-Schlatter

(บางครั้งจะคลำเจอก้อนแข็งเล็ก ๆ ใต้หัวเข่าได้ด้วย)

อาการเป็นอย่างไร?

• เจ็บบริเวณใต้หัวเข่า โดยเฉพาะเวลาวิ่ง กระโดด หรือนั่งพับเข่า

• บางคนอาจเห็นเป็นก้อนนูน ๆ ตรงหน้าแข้งใต้หัวเข่า

• เมื่อหยุดพักอาการมักจะดีขึ้น

อันตรายไหม? ต้องรักษาอย่างไร?

ไม่อันตราย และมักจะหายได้เอง เมื่อเด็กโตเต็มที่และกระดูกหยุดโต

แต่ระหว่างนั้น การดูแลรักษาจะช่วยให้เด็กเล่นกีฬาได้ต่อเนื่องและลดอาการเจ็บ ได้แก่

• พักหรือลดกิจกรรม ที่กระทบกระเทือนบริเวณเข่า

• ประคบเย็น เมื่อปวดหรือบวม

• ยืดกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อน่อง

• ใช้ สนับเข่า หรืออุปกรณ์ช่วยพยุงหากจำเป็น

• รับประทานยาแก้ปวด (ตามแพทย์สั่ง) หากปวดมาก

สรุปง่าย ๆ

• Osgood-Schlatter พบในเด็กวัยกำลังโตที่เล่นกีฬามาก

• ไม่ใช่โรคร้ายแรง และมักหายได้เองเมื่อโตเต็มที่

• ระหว่างนี้ควรพักและยืดกล้ามเนื้อ เพื่อลดการดึงรั้งที่ทำให้ปวด

ถ้าลูกหลานบ่นเจ็บเข่าบ่อย ๆ อย่าลืมสังเกตดูนะครับ

ถ้าอาการรุนแรงหรือเป็นนาน → ควรพามาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและวางแผนดูแลอย่างเหมาะสมครับ

การรักษาโรค Osgood-Schlatter ทำอย่างไร?

ข่าวดีของโรคนี้คือ ไม่ใช่โรคร้ายแรงและมักจะหายได้เอง เมื่อเด็กโตเต็มที่และกระดูกหยุดยืดตัวแล้ว แต่ระหว่างที่ยังมีอาการ เจ็บ ๆ หาย ๆ การดูแลที่ถูกวิธีจะช่วยให้น้อง ๆ ใช้ชีวิตและเล่นกีฬาได้ตามปกติ และลดการปวดลงได้เยอะมาก

แนวทางการรักษา

1. หลีกเลี่ยงการใช้งานหนักชั่วคราว

• ลดหรือหยุดกิจกรรมที่กระแทกแรง เช่น วิ่ง กระโดด เล่นกีฬา

• เปลี่ยนไปเล่นกีฬาที่กระทบเข่าน้อย เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

2. ประคบเย็นเมื่อปวดหรือหลังเล่นกีฬา

• ใช้น้ำแข็งประคบใต้เข่าบริเวณที่เจ็บ ประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง

• ช่วยลดการอักเสบและบวม

3. ยืดกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อน่อง

• กล้ามเนื้อที่ตึงจะดึงรั้งเส้นเอ็นให้กระตุกกระดูกมากขึ้น → ยิ่งปวด

• การยืดจะช่วยลดแรงดึง ทำให้อาการดีขึ้นและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

4. การใช้สนับเข่า (Patellar Strap หรือ Knee Pad)

• ใส่สนับเข่าหรือสายรัดใต้หัวเข่าเวลาทำกิจกรรม

• ช่วยลดแรงกระแทกและแรงดึงที่บริเวณเอ็น

5. ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ (ถ้าจำเป็น)

• เช่น พาราเซตามอล หรือยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs (ควรให้แพทย์แนะนำ)

6. ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก (พบไม่บ่อย)

• อาจต้องหยุดเล่นกีฬาไปเลยชั่วคราว

• กายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

7. การผ่าตัด (พบได้น้อยมาก)

• กรณีมีปุ่มกระดูกนูนโตมากจนปวดต่อเนื่องหลังโตเต็มที่ → อาจพิจารณาผ่าตัดออก แต่พบได้น้อยมาก

สรุปอีกทีสั้น ๆ สำหรับคนทั่วไป

• พัก → ประคบเย็น → ยืดกล้ามเนื้อ → ใช้สนับเข่า → ทานยาแก้ปวดตามแพทย์

• ส่วนใหญ่หายเองเมื่อโตเต็มที่

• หากปวดมากหรือเป็นเรื้อรัง ควรพบแพทย์กระดูกเพื่อวางแผนดูแล

เยี่ยมมากเลยครับ เดี๋ยวผมสรุปเรื่อง “การรักษา Osgood-Schlatter” ให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายที่สุดสำหรับคนทั่วไปนะครับ (สามารถเอาไปโพสต์ต่อได้เลย)

การรักษาโรค Osgood-Schlatter ทำอย่างไร?

ข่าวดีของโรคนี้คือ ไม่ใช่โรคร้ายแรงและมักจะหายได้เอง เมื่อเด็กโตเต็มที่และกระดูกหยุดยืดตัวแล้ว

แต่ระหว่างที่ยังมีอาการ เจ็บ ๆ หาย ๆ การดูแลที่ถูกวิธีจะช่วยให้น้อง ๆ ใช้ชีวิตและเล่นกีฬาได้ตามปกติ และลดการปวดลงได้เยอะมาก

แนวทางการรักษา

1. หลีกเลี่ยงการใช้งานหนักชั่วคราว

• ลดหรือหยุดกิจกรรมที่กระแทกแรง เช่น วิ่ง กระโดด เล่นกีฬา

• เปลี่ยนไปเล่นกีฬาที่กระทบเข่าน้อย เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

2. ประคบเย็นเมื่อปวดหรือหลังเล่นกีฬา

• ใช้น้ำแข็งประคบใต้เข่าบริเวณที่เจ็บ ประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง

• ช่วยลดการอักเสบและบวม

3. ยืดกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อน่อง

• กล้ามเนื้อที่ตึงจะดึงรั้งเส้นเอ็นให้กระตุกกระดูกมากขึ้น → ยิ่งปวด

• การยืดจะช่วยลดแรงดึง ทำให้อาการดีขึ้นและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

4. การใช้สนับเข่า (Patellar Strap หรือ Knee Pad)

• ใส่สนับเข่าหรือสายรัดใต้หัวเข่าเวลาทำกิจกรรม

• ช่วยลดแรงกระแทกและแรงดึงที่บริเวณเอ็น

5. ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ (ถ้าจำเป็น)

• เช่น พาราเซตามอล หรือยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs (ควรให้แพทย์แนะนำ)

6. ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก (พบไม่บ่อย)

• อาจต้องหยุดเล่นกีฬาไปเลยชั่วคราว

• กายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

7. การผ่าตัด (พบได้น้อยมาก)

• กรณีมีปุ่มกระดูกนูนโตมากจนปวดต่อเนื่องหลังโตเต็มที่ → อาจพิจารณาผ่าตัดออก แต่พบได้น้อยมาก

สรุปอีกทีสั้น ๆ สำหรับคนทั่วไป

• พัก → ประคบเย็น → ยืดกล้ามเนื้อ → ใช้สนับเข่า → ทานยาแก้ปวดตามแพทย์

• ส่วนใหญ่หายเองเมื่อโตเต็มที่

• หากปวดมากหรือเป็นเรื้อรัง ควรพบแพทย์กระดูกเพื่อวางแผนดูแล

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

Bone Marrow Edema ที่เข่า: ทำไมถึงปวดมาก และจะดูแลตัวเองอย่างไร?

Bone Marrow Edema ที่เข่า: ทำไมถึงปวดมาก และจะดูแลตัวเองอย่างไร?


เคยมีอาการปวดเข่ามากจนเดินลำบากไหม? บางครั้งอาการปวดนี้อาจเกิดจาก Bone Marrow Edema (BME) หรือ ภาวะบวมน้ำในไขกระดูก ซึ่งอาจพบได้จากการบาดเจ็บหรือโรคข้อเสื่อม แม้ว่าภาวะนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ได้ยินบ่อย แต่ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรงจนใช้ชีวิตประจำวันลำบาก

Bone Marrow Edema คืออะไร?


Bone Marrow Edema เป็นภาวะที่มีการคั่งของของเหลวในไขกระดูกภายในกระดูกต้นขาหรือกระดูกแข้งที่ประกอบเป็นข้อเข่า ส่งผลให้เกิดแรงดันภายในกระดูกและทำให้มีอาการปวดอย่างรุนแรง


ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น

การบาดเจ็บ เช่น เข่ากระแทกแรงๆ หรือมีแรงกดทับที่ข้อซ้ำๆ

โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) เมื่อกระดูกอ่อนเสื่อมลง แรงกดทับที่กระดูกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิด Bone Marrow Edema

โรคข้ออักเสบ (Arthritis) เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือโรคเกาต์ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของไขกระดูก

การขาดเลือดในกระดูก (Osteonecrosis) ทำให้เกิดการบวมของกระดูกจากภาวะขาดออกซิเจน

ภาวะความเครียดที่กระดูก (Stress Fracture) จากการใช้งานหนักเกินไป

อาการของ Bone Marrow Edema เป็นอย่างไร?


อาการเด่นที่พบได้คือ

🔴 ปวดเข่ามาก โดยเฉพาะเวลากดน้ำหนักหรือเดิน

🔴 บวม อาจมีอาการบวมร่วมด้วยหากมีการอักเสบ

🔴 ข้อเข่าตึงและเคลื่อนไหวลำบาก โดยเฉพาะหลังจากพักนานๆ

🔴 อาการแย่ลงเมื่อใช้งาน และดีขึ้นเมื่อพัก

จะวินิจฉัยได้อย่างไร?


Bone Marrow Edema ไม่สามารถมองเห็นได้จากเอกซเรย์ปกติ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วย MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งจะแสดงภาพของของเหลวที่สะสมอยู่ภายในกระดูก


หมออาจสั่งตรวจเพิ่มเติมหากสงสัยว่ามีภาวะอื่นร่วม เช่น การตรวจเลือดในกรณีสงสัยข้ออักเสบหรือโรคเกาต์

แนวทางการรักษา


แม้ว่า Bone Marrow Edema จะทำให้ปวดมาก แต่สามารถรักษาได้โดย


✔️ พักการใช้งานข้อเข่า ลดน้ำหนักที่ลงไปที่เข่า เช่น ใช้ไม้เท้าช่วยพยุง

✔️ รับประทานยาแก้ปวดและลดการอักเสบ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน

✔️ ทำกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบเข่า ลดแรงกดที่ข้อ

✔️ ฉีดยาลดการอักเสบเฉพาะที่ เช่น สเตียรอยด์หรือตัวยาใหม่ เช่น PRP หรือ ไฮยาลูรอนิคแอซิด

✔️ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนัก เช่น การวิ่งหรือกระโดด

✔️ ในกรณีรุนแรง อาจพิจารณา การผ่าตัด เช่น การเจาะกระดูกเพื่อช่วยลดแรงดันในไขกระดูก

สรุป


Bone Marrow Edema เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนที่มีปัญหาข้อเข่า และเป็นสาเหตุของอาการปวดที่รุนแรง การตรวจ MRI เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัย และการรักษาสามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การพักผ่อน กายภาพบำบัด จนถึงการรักษาทางการแพทย์ หากคุณมีอาการปวดเข่ามาก อย่าปล่อยไว้! ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างเหมาะสม


💬 คุณเคยมีอาการปวดเข่าแบบนี้หรือไม่? หรือสงสัยว่าอาการปวดของคุณอาจเป็น Bone Marrow Edema? แชร์ประสบการณ์ของคุณในคอมเมนต์ได้เลย! 👇👇