โรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อม รายการโทรทัศน์ คุยกับหมอสวนดอก
อธิบายอาการปวดเข่า และโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมนับว่าเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในผู้สูงอายุทำให้ผู้ป่วยมี
อาการปวดเข่าเวลาเดิน ขาโก่ง การทรงตัวของร่างกายไม่ดี ร่างกายเสียสมดุล
มีโอกาสเกิดการหกล้มได้ง่าย
มีผลทำให้เกิดกระดูกหักตามมาโดยเฉพาะกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ
ในคนไทยมีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมากถึง 7 ล้านคน
อาการปวดเข่าในโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากสาเหตุใด ?
1. มีการอักเสบของเยื่อบุข้อเข่า ทำให้ข้อเข่ามีอาการบวมตึง
เนื่องจากเยื่อบุข้อที่อักเสบมีการสร้างน้ำไขข้อที่ไม่มีคุณภาพออกมาใน
ปริมาณมากจึงทำให้เกิดอาการบวมตึงขึ้นภายในข้อเข่า
คล้ายกับลูกโป่งที่ขยายตัวออกทำให้ข้อเข่าตึงมากขึ้นมีอาการปวดบริเวณหลัง
เข่าเหยียดข้อเข่าได้ไม่สุด
2.
เกิดกระดูกงอกรอบๆบริเวณข้อเข่าอันเนื่องมาจากเกิดความไม่มั่นคงของข้อเข่า
ร่างกายตอบสนองด้วยการพยายามสร้างกระดูกรอบๆข้อเข่าขึ้นมาทดแทน
กระดูกที่งอกขึ้นมาใหม่นั้นไปเบียดเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆบริเวณข้อเข่ามีผล
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเข่าเพิ่มมากขึ้นในอิริยาบถ ที่งอเข่านาน
เช่นท่านั่งคุกเข่า นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ
เวลาลุกขึ้นยืนจึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดรอบๆบริเวณข้อเข่า
3.มีการฉีกขาดของเส้นเอ็น และหมอนรองกระดูก มีการทำลายกระดูกที่บริเวณกระดูกใต้ต่อผิวข้อ
4.
กระดูกบริเวณข้อเข่าทั้ง2ด้านมาเสียดสีกันทำให้มีอากาการปวดมากขึ้นในขณะที่
ผู้ป่วยนั่งนานๆแล้วจะลุกขึ้นผู้ป่วยจะมีความรู้สึกเหมือนกับต้องพยายามตั้ง
ไข่ก่อนที่จะเดิน ไม่เหมือนกับช่วงที่เป็นหนุ่มสาว อันเนื่องมาจาก
โรคข้อเข่าเสื่อมมีการทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อ
ซึ่งกระดูกอ่อนผิวข้อจะทำหน้าที่ลดแรงกระแทกบริเวณข้อเข่าและทำให้การ
เคลื่อนไหวของข้อเข่าเป็นไปอย่างคล่องตัว
ดังนั้นเมื่อกระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลายลงจึงทำให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่า
ลำบาก
5.ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมักจะมีหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อร่วมอยู่ด้วย
ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดเข่าจะทำให้ผู้ป่วยเสียสมดุลในการเดินทำให้เกิดอาการ
เดินกะเผลกซึ่งจะส่งผลต่อการรับน้ำหนักของกระดูกสันหลัง
ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อบริเวณสันหลัง
มีผลทำให้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงเข่าและน่องร่วม
ด้วย
6. มีการทำลายกระดูกบริเวณข้อเข่าเพิ่มมากขึ้น เพิ่มความดันภายในโพรงกระดูกใต้ผิวข้อเข่า มีอาการปวดของกระดูกในตำแหน่งนั้นๆ
มีแนวทางการรักษาอย่างไรบ้าง ควรรับประทานยาลดปวดอะไรบ้าง ยาที่ใช้มีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง ?
ยาส่วนใหญ่ที่แพทย์นิยมใช้ในการรักษาอาการปวดในโรคข้อเข่าเสื่อมชนิดรับประทานได้แก่
1. ย
าแก้ปวดพาราเซทตามอล เป็น
ยาที่มีประสิทธิภาพดี ผลข้างเคียงน้อย สามารถรับประทานยาพาราเซทตามอลเม็ดละ
500 มิลลิกรัม ได้ถึง 6 เม็ดต่อวัน แต่กลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคตับแข็ง
และโรคตับอักเสบควรระมัดระวังในการใช้ยาในกลุ่มนี้
เพราะอาจจะมีผลทำให้อาการโรคตับที่เป็นอยู่แย่ลงได้
2.
ยาลดการอักเสบ (NSAIDs) ซึ่ง
เป็นยาที่แพทย์นิยมใช้ในการรักษาอาการปวดให้แก่ผู้ป่วย
เป็นกลุ่มยาที่มีประสิทธิภาพในการลดปวดได้ดี
ปัญหาส่วนใหญ่ของยาในกลุ่มนี้มักจะมีผลข้างเคียงได้แก่
อาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
หรืออาจทำให้เกิดอาการเลือดออกภายในระบบทางเดินอาหารได้ ถ้าใช้ในผู้สูงอายุ
หรือใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับการใช้ยาในกลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด
ข้อห้ามสำหรับการใช้ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไต หรือไตวาย
และผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง
และกลุ่มผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยการทำบอลลูนที่หลอดเลือดหัวใจ
การฉีดยาสเตียรอยด์มีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง ?
ในกรณีที่ข้อเข่ามีการอักเสบมาก ร่วมกับตรวจร่างกายแล้วพบว่าข้อเข่าบวม ตึง
มีน้ำในข้อเข่าซึ่งเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุข้อเข่า
สามารถรักษาด้วยการดูดเอาน้ำในข้อเข่าที่มีการอักเสบออกมาได้
เพื่อลดความดันภายในข้อเข่า
ร่วมกับการฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบได้โดยตรง
จะช่วยลดอาการปวดให้ผู้ป่วยได้อย่างมาก
ในมาตรฐานการรักษาทั่วไปแนะนำว่าไม่ควรฉีดยาเข้าข้อเข่ามากกว่า 3-5
ครั้งต่อปี
อย่างไรก็ตามการใช้ยาสเตียรอยด์ฉีดเข้าข้อเข่าได้บ่อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับ
ปริมาณของยาสเตียรอยด์ที่ฉีดเข้าข้อเข่า และความรุนแรงของโรคข้อเข่าอักเสบ
ซึ่งถ้าในกรณีที่มีการทำลายของข้อเข่าอย่างมาก
ร่วมกับอาการขาโก่งมากๆมักจะแนะนำผู้ป่วยรับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยน
ข้อเข่าเทียม
การใช้ไม้เท้าในการช่วยเดินมีประโยชน์หรือไม่?
แนะนำ
ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมใช้ไม้เท้าในการช่วยพยุงตัวในขณะเดิน
ให้ถือไม้เท้าด้านตรงข้ามกับข้อเข่าข้างที่ปวด
เพราะจะช่วยในการแบ่งรับน้ำหนักของข้อเข่าข้างที่มีการอักเสบ มีอาการปวด
เพราะส่วนใหญ่คนทั่วไปจะมีความเข้าใจผิดคิดว่าถ้ามีอาการปวดเข่าข้างไหนก็จะ
ถือไม้เท้าข้างนั้น
ในกรณีที่มีอาการปวดเข่ามาเป็นระยะเวลานาน
ขาโก่งมากๆ โดยเฉพาะตอนที่เดิน มีผลรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากๆ
แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า
เทียม ซึ่งด้วยเทคโนโลยี และเทคนิคการผ่าตัดในปัจจุบัน
ช่วยทำให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดได้ผลดีมาก
และผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนปกติ
และท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆได้ตามใจหมาย
ยาก
ลุ่ม glucosamine
และยานำ้หล่อเลี้ยงข้อเทียมชนิดฉีดจะเหมาะสมกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมใน
ระยะเบื้องต้น หรือในระยะแรกที่มีการเสื่อมของข้อไม่มากเท่านั้น
แต่ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมาก ขาโก่ง
ภาพเอกซเรย์แสดงเห็นว่ากระดูกเข่า 2 ข้างชนกันแล้ว ยาทั้ง 2 ชนิดทั้ง
glucosamine และ นำ้ยาหล่อเลี้ยงข้อเทียมชนิดฉีดก็ไม่มีประโยชน์กับผู้ป่วย
และเป็นการสิ้นเปลืองเงินเกินความจำเป็น
เข่าบวม มีนำ้ในข้อเข่าทำให้เกิดอาการปวด
เนื่องจากมีนำ้ในข้อเข่าและทำให้เกิดอาการปวด จึงดูดนำ้ออกเพื่อลดอาการปวดและป้องกันไม่ให้ผิวข้อถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น
ภาพ ultrasound แสดงลักษณะของนำ้ที่มีอยู่ภายในข้อเข่า
ภาพเอกซเรย์ที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ ทำให้ช่องว่างระหว่างข้อหายไป เกิดการเสียดสีของกระดูกทำให้มีอาการปวด
VDO ลักษณะการเดินของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม มีการเดินเอียง ขาโก่ง โอกาสหกล้มง่ายและเกิดกระดูกหักตามมา
หมายเหตุ วีดีโอในบทความนี้ได้รับอนุญาตจากผู้ป่วยให้เปิดเผยใบหน้าได้
VDO การเดิน โดยการใช้ไม้เท้าช่วยพยุงการเดินเพื่อลดอาการปวดที่ถูกต้อง
เชิญเพิ่มเพื่อนทาง line จาก หมอเก่ง กระดูกและข้อ
เพื่อรับข้อมูลข่าวสารสุขภาพกระดูกและข้อครับ
หรือที่ QR code
แล้วกด add นะครับ
อ่านความรู้โรคกระดูกและข้อเพิ่มเติมได้ที่
โทร 081-5303666
หมอเก่ง : ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (Taninnit Leerapun, MD, MS, MBA)
ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สันป่าข่อยคลินิก ติดกับโรงไม้อบทวีพรรณ
271 ถนนเจริญเมือง ต.วัดเกต อ.เมือง จ.เชียงใหม่
เวลาทำการ
จันทร์ ถึงศุกร์ 17-19.00 , เสาร์ อาทิตย์ 9-12.00
ที่อยู่ใน www.taninnit.com
กลูโคซามีน เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่พบในน้ำไขข้อปกติ
จะมีปริมาณลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นซึ่งเกิดเนื่องจากมีการเสื่อมของกระดูก
อ่อนผิวข้อ และทำให้ปริมาณของโปรติโอไกลแคนลดลง
สารกลูโคซามีนเป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีโอไกลแคน
ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้นจึงมีการแนะนำให้ทานยากลุ่มกลูโคซามีนเสริมเพื่อ
ชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อนข้อเข่า
เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมในระยะที่เป็นการเสื่อมในระยะแรก
เท่านั้น ถ้าพบว่ามีการเสื่อมของกระดูกข้อเข่ามาก เข่าผิดรูป เข่าโก่ง
สูญเสียกระดูกผิวข้อ กระดูกข้อชนกัน
ยากลุ่มนี้ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษาข้อเข่าเสื่อม
อย่างไรก็ตามยากลุ่มกลูโคซามีนยังเป็นที่ถกเถียงในวงการแพทย์อยู่ว่ามี
ประโยชน์ในการรักษาข้อเข่าเสื่อมมากน้อยเพียงใด
มีความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายมากน้อยเพียงใดในการรักษาและชะลอการเสื่อมของข้อ
เข่า ความเห็นของแพทย์ก็มี 2 กลุ่ม
กลุ่มแพทย์ทางประเทศสหรัฐอเมริกาก็ระบุว่า ยากลุ่มกลูโคซามีนคลอไรด์
นั้นไม่มีประโยชน์ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม และไม่แนะนำให้ใช้
เพราะเป็นการสิ้นเปลือง
และจัดยากลุ่มกลูโคซามีนคลอไรด์เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
แต่แพทย์กลุ่มทางประเทศยุโรปซึ่งผลิตยากลุ่มนี้เป็นกลูโคซามีนซัลเฟตก็อ้าง
งานวิจัยต่างๆ ว่ายากลุ่มนี้มีผลช่วยลดอาการปวดเข่า
ชะลอการเสื่อมของข้อเข่ามีผลเพิ่มความหนาตัวของกระดูกอ่อนโดยทำวิจัยนาน
ประมาณ 3 ปี เพราะองค์ประกอบของยากลูโคซามีนนั้นมีความแตกต่างกัน
โดยถ้าเป็นกลูโคซามีนซัลเฟตจะสามารถช่วยลดอาการของข้อเข่าได้ดีกว่าและจัด
กลุ่มกลูโคซามีนว่าเป็นยาอันตรายใช้ในการรักษาข้อเข่าเสื่อม
สำหรับประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)
ได้อนุญาติให้ยากลูโคซามีน เกลือซัลเฟตเป็นยาอันตรายที่รับขึ้นทะเบียน
และจำหน่ายในประเทศไทย
ซึ่งมีทั้งในรูปแบบเป็นแคปซูลและเป็นชนิดผงละลายน้ำซึ่งปริมาณที่ใช้คือ
1,500 มิลลิกรัมและทานก่อนอาหารเพื่อให้การดูดซึมยาได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามก็ยังเป็นที่ถกเถียงในวงการแพทย์ว่ายากลุ่มกลูโคซามีนจะมีความ
คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
และเหมาะสมกับการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมากน้อยเพียงใด
แต่ที่แน่นอนถ้าเป็นในกรณีที่ข้อเข่าเสื่อมมาก ข้อเข่าผิดรูป
การใช้ยากลูโคซามีน และน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมชนิดฉีดก็ไม่มีประโยชน์
เป็นการสิ้นเปลืองเสียมากกว่า
สำหรับน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมชนิดฉีดก็อาจจะมีประโยชน์ในกลุ่มผู้ป่วยข้อ
เข่าเสื่อมที่เป็นไม่มาก มีฤทธิ์ในการลดปวด
อย่างไรก็ตามในงานวิจัยหลายฉบับก็รายงานว่าประสิทธิภาพในการลดอาการปวดก็
ไม่มีความแตกต่างกับการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อเข่าซึ่งสามารถลดอาการปวดได้
ดีพอกัน และน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมก็มีราคาสูงมาก
ในกรณีที่ผู้ป่วยเข่าโก่งมากอาจจะพิจารณาการผ่าตัดรักษา
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเข่าเสื่อมมาก และขาโก่งผิดรูป
มีผลต่อการใช้งานของข้อเข่าในชีวิตประจำวัน เดินลำบาก
แนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ด้วยเทคโนโลยี
ความรู้และทักษะของแพทย์ในปัจจุบันทำให้การรักษาข้อเข่าด้วยวิธีการผ่าตัด
เปลี่ยนข้อเข่าเทียมได้ผลดีมาก ผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้ภายใน 2
วันหลังการผ่าตัด สิ่งที่ผู้ป่วยกลัวการผ่าตัดรักษามี 2 ประการหลัก ๆ คือ
1. ผ่าแล้วกลัวเดินไม่ได้ และ 2. กลัวอาการปวดหลังผ่าตัด
อย่างไรก็ตามด้วยความรู้
และความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้ผลการรักษาผ่าตัดได้ผลดีเยี่ยม
หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดน้อยมาก และสามารถลุกเดินได้หลังผ่าตัด
และสามารถเดินได้โดยไม่ใช้ไม้เท้าชนิดวอล์กเกอร์ ภายใน 3 เดือนหลังผ่าตัด
ภาพรังสีของผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
- เข่าโก่ง ขาฉิ่ง ผ่าตัดรักษาได้ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด http://www.taninnit.com/general-knowledge-menu/knee-km/122-knee-hog-therapy.html
เข่า โก่งเข่าฉิ่ง นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งในสังคมไทย
สาเหตุหลักส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากการเสื่อมของกระดูกและข้อของร่างกายโดย
เฉพาะที่ตำแหน่งบริเวณข้อเข่า
สาเหตุที่ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมส่วนใหญ่ปล่อยให้เกิดอาการจนเกิดการผิดรูปของ
ข้อเข่าเพราะความกลัวต่อการผ่าตัดรักษา
กลัวว่าหลังการผ่าตัดแล้วจะเดินไม่ได้
บางครั้งได้ยินมาจากเพื่อนบ้านว่าอย่าไปผ่าตัดแก้ไขเลยเดี๋ยวผ่าเสร็จกลับมา
ก็เดินไม่ได้ ส่วนใหญ่โรคข้อเข่าเสื่อม
ถ้านั่งอยู่ไม่ได้เดินลงน้ำหนักผู้ป่วยมักจะไม่มีความเจ็บปวด
อาการปวดส่วนใหญ่มักจะเกิดในช่วงขณะที่เดิน
ถ้าขาโก่งมากๆจะทำให้ผู้ป่วยเดินลำบาก
เดินเซมีโอกาสหกล้มได้บ่อยขึ้นเพราะสมดุลการทรงตัวของร่างกายเสียไป
ทำให้มีโอกาสเกิดกระดูกสะโพกหักจากการล้มเพิ่มมากขึ้น
ผู้ป่วยหัดเดินหลังผ่าตัดวันที่ 3 - 5